ฟิลเลอร์ (Filler) คือหนึ่งในหัตถการยอดฮิตของสายดูแลผิวที่อยากให้ใบหน้าดูละมุนขึ้นแบบไม่ต้องผ่าตัด เหมือนปัดฟิลเตอร์ให้ผิวจริง ๆ หลายคนอาจเคยได้ยินว่าฉีดแล้วเจ็บ หรือกลัวว่าหน้าจะแข็ง แต่ความจริงฟิลเลอร์ยุคใหม่ถูกพัฒนาให้เนียนละเอียดกว่าเดิม ใช้สาร Hyaluronic Acid ที่ใกล้เคียงกับของร่างกาย เติมเต็มร่องลึก ใต้ตา ขมับ คาง หรือริมฝีปากให้ได้รูปอย่างเป็นธรรมชาติ ที่สำคัญผลลัพธ์อยู่ได้นานเฉลี่ย 6–18 เดือน ขึ้นอยู่กับรุ่นที่เลือกและเทคนิคของแพทย์ สำหรับใครที่อยากรู้ว่า ฉีดฟิลเลอร์เจ็บไหม? ราคาเท่าไหร่? ต้องดูยังไงว่าแท้? บทความนี้หมอจะมาเล่าแบบเข้าใจง่าย สไตล์เพื่อน Gen Z ที่อยากให้ทุกคนดูดีแบบสวยปังแต่ยังดูเป็นตัวเอง
ฟิลเลอร์ คืออะไร ?
ฟิลเลอร์ (Filler) คือสารเติมเต็มที่มีส่วนประกอบหลักเป็น Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่แล้วในร่างกายตามธรรมชาติ หน้าที่หลักคือช่วยเก็บความชุ่มชื้นและเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว เมื่ออายุมากขึ้น HA จะลดลง ทำให้เกิดร่องลึกหรือผิวดูไม่กระชับ การฉีดฟิลเลอร์จึงเป็นวิธีที่ช่วยเติมเต็ม โครงสร้างใต้ผิวให้กลับมาเรียบเนียนและอิ่มฟูเหมือนวัยรุ่นอีกครั้ง
ฟิลเลอร์ที่ใช้ในคลินิกสมัยนี้มีความปลอดภัยสูง ผ่าน อย. และถูกออกแบบให้มีความหนืดหลากหลายระดับ เหมาะกับแต่ละจุด เช่น ใต้ตา แก้ม คาง หรือขมับ หมอจะเลือกชนิดและปริมาณให้เหมาะกับสัดส่วนใบหน้า เพื่อให้ผลลัพธ์ดูละมุนเป็นธรรมชาติ ไม่แข็ง ไม่โป๊ะ หลายคนวัย 20–30 เริ่มหันมาฉีดฟิลเลอร์เพราะอยากรีเฟรชใบหน้าให้ดูสดใสขึ้นแบบไม่ต้องพักฟื้น เรียกว่าเป็นเทรนด์สวยเนียนแต่ไม่รู้ว่าทำ ที่ตอบโจทย์ทั้งหนุ่มสาวสายโซเชียลและวัยทำงานที่อยากดูดีแบบพอดีตัว
หลักการทำงานของฟิลเลอร์
หลักการทำงานของฟิลเลอร์จริง ๆ แล้วอธิบายได้ไม่ยาก ฟิลเลอร์คือสาร Hyaluronic Acid (HA) ที่มีคุณสมบัติอุ้มน้ำสูง เมื่อฉีดเข้าสู่ชั้นผิวหรือใต้ผิว จะช่วยเติมเต็มพื้นที่ที่ยุบตัวจากการสูญเสียคอลลาเจนและไขมันตามวัย ทำให้ร่องลึกดูตื้นขึ้น ใบหน้าดูอิ่มฟูและมีมิติขึ้นในทันที
นอกจากการเติมเต็ม ฟิลเลอร์ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในระยะยาว จึงให้ผลที่ดูเป็นธรรมชาติ ผิวจะค่อยๆ เรียบเนียนและชุ่มชื้นมากขึ้นตามเวลา การฉีดแต่ละครั้งจะใช้เทคนิคที่ต่างกัน เช่น การวางฟิลเลอร์เป็นชั้น ๆ (Layering) หรือเทคนิค Linear Threading เพื่อให้เนื้อฟิลเลอร์กระจายตัวสม่ำเสมอ
หมอมักอธิบายกับคนไข้ว่าฟิลเลอร์ไม่ใช่แค่ของเหลวเติมหน้า แต่เป็นเครื่องมือปรับโครงสร้างใบหน้าแบบละเอียดที่ต้องอาศัยศิลปะและความเข้าใจสรีรวิทยา เพื่อให้ผลลัพธ์ดูละมุนธรรมชาติ สไตล์ “สวยแต่ไม่โป๊ะ” แบบที่สายโซเชียลเรียกว่า natural glam นั่นเอง
ฟิลเลอร์มีกี่ประเภท?
ฟิลเลอร์ที่ใช้ในงานเสริมความงามสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก คือ 1. Temporary Filler (ฟิลเลอร์แบบชั่วคราว) 2. Semi Permanent Filler (ฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร) 3. Permanent Filler (ฟิลเลอร์แบบถาวร) ตามระยะเวลาการคงอยู่และคุณสมบัติของวัสดุที่ใช้ ดังนี้
- Temporary Filler (ฟิลเลอร์แบบชั่วคราว) ฟิลเลอร์ชนิดนี้ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากใช้สารที่สามารถสลายไปเองตามธรรมชาติ เช่น Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารที่ปลอดภัยและไม่ก่อให้เกิดการตกค้างในร่างกาย Temporary Filler มีอายุการใช้งานประมาณ 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์และบริเวณที่ฉีด เหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึก เช่น ร่องแก้ม หรือการเพิ่มวอลลุ่มบริเวณริมฝีปาก ข้อดีคือสามารถปรับแต่งและฉีดสลายได้ง่ายหากต้องการแก้ไข
- Semi Permanent Filler (ฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร) ฟิลเลอร์ชนิดนี้มีส่วนผสมของสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว เช่น Calcium Hydroxylapatite (CaHA) หรือ Poly-L-Lactic Acid (PLLA) มีความคงทนกว่าฟิลเลอร์แบบชั่วคราว โดยสามารถอยู่ได้นาน 1-2 ปี ขึ้นไป เหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหาริ้วรอยลึก หรือการฟื้นฟูโครงสร้างผิวในระยะยาว ฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวรช่วยเพิ่มความกระชับและยกกระชับใบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญในการฉีด เนื่องจากไม่สามารถแก้ไขหรือสลายได้ง่ายเหมือนฟิลเลอร์แบบชั่วคราว
- Permanent Filler (ฟิลเลอร์แบบถาวร) ฟิลเลอร์ชนิดนี้ผลิตจากวัสดุสังเคราะห์ เช่น Silicone หรือ Polymethylmethacrylate (PMMA) ซึ่งไม่สามารถสลายได้เองในร่างกาย Permanent Filler มีความคงทนถาวรหลังการฉีด แต่ในปัจจุบันการใช้ฟิลเลอร์แบบถาวรเริ่มลดลง เนื่องจากความเสี่ยงที่อาจเกิดปัญหาระยะยาว เช่น การเกิดพังผืดหรือการอักเสบที่บริเวณฉีด การแก้ไขในกรณีที่ไม่พอใจผลลัพธ์อาจต้องอาศัยการผ่าตัด เหมาะสำหรับการใช้งานเฉพาะจุดที่ต้องการผลลัพธ์ระยะยาวโดยไม่ต้องฉีดซ้ำ
ฟิลเลอร์แต่ละประเภทใช้ในส่วนไหนของร่างกายบ้าง?
ฟิลเลอร์แต่ละประเภทได้รับการออกแบบให้เหมาะสมกับการใช้งานในบริเวณต่างๆ ของร่างกาย ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติและความเหมาะสมของเนื้อฟิลเลอร์ โดยสามารถแบ่งการใช้งานได้ดังนี้
1. Temporary Filler (Hyaluronic Acid – HA) Temporary Filler หรือฟิลเลอร์แบบชั่วคราว นิยมใช้ในบริเวณที่ต้องการความยืดหยุ่นและผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ เช่น
- ร่องแก้ม เติมเต็ม ร่องลึก ลดความชัดของริ้วรอย
- ใต้ตา แก้ปัญหาใต้ตาลึก ลดความหมองคล้ำ
- ริมฝีปาก เพิ่มวอลลุ่ม เติมความอวบอิ่ม
- ขมับ เติมเต็มให้รูปหน้าได้สมดุล
- คาง ปรับทรงคางให้ดูเรียวและได้รูป ฟิลเลอร์ชนิดนี้เหมาะสำหรับการปรับรูปทรงที่ต้องการความแม่นยำและสามารถแก้ไขได้ง่าย
2. Collagen-stimulating Fillers ฟิลเลอร์ชนิดนี้ เช่น Calcium Hydroxylapatite (CaHA) และ Poly-L-Lactic Acid (PLLA) มีคุณสมบัติพิเศษในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน จึงเหมาะสำหรับ
- กรอบหน้า ฟื้นฟูและยกกระชับ
- แก้ม เพิ่มวอลลุ่มและลดความหย่อนคล้อย
- ลำคอและหลังมือ ฟื้นฟูผิวที่บางและเริ่มแสดงอายุ Collagen-stimulating Fillers ช่วยสร้างผลลัพธ์ระยะยาวในการฟื้นฟูความยืดหยุ่นของผิว
3. Permanent Filler เช่น Silicone หรือ Polymethylmethacrylate (PMMA) นิยมใช้สำหรับบริเวณที่ต้องการผลลัพธ์ถาวร เช่น
- จมูก เติมเต็มและปรับทรงจมูก
- คาง สร้างความคงทนในรูปทรงที่ต้องการ อย่างไรก็ตาม ฟิลเลอร์ชนิดนี้เริ่มได้รับความนิยมน้อยลง เนื่องจากความเสี่ยงในระยะยาว
ตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด การเลือกฟิลเลอร์ให้เหมาะกับบริเวณต่าง ๆ ของร่างกายขึ้นอยู่กับเป้าหมายของผู้รับบริการและคำแนะนำจากแพทย์ การพิจารณาความปลอดภัยและผลลัพธ์ระยะยาวจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ได้ความสวยงามที่เป็นธรรมชาติและปลอดภัยที่สุด
ฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับใครบ้าง ?
ฟิลเลอร์เป็นหัตถการที่ช่วยปรับโครงสร้างใบหน้า เติมเต็มผิว และฟื้นฟูความอิ่มฟูจากภายใน เหมาะกับทั้งผู้หญิงและผู้ชายที่อยากดูดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องพักฟื้น และเห็นผลทันทีหลังทำ ซึ่งกลุ่มที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ ได้แก่
- ผู้ที่มีร่องลึกจากอายุหรือการแสดงสีหน้า เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ขมับยุบ ใต้ตาดำคล้ำ หรือร่องหน้าผาก ฟิลเลอร์จะช่วยเติมเต็มให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ลดเงาใต้ตา ทำให้ใบหน้าดูสดใสขึ้นเหมือนนอนเต็มอิ่ม
- ผู้ที่มีโครงหน้าขาดมิติแต่กำเนิด เช่น คางสั้น หน้าตอบ ปากไม่เท่ากัน หรือโหนกแก้มไม่บาลานซ์ การฉีดฟิลเลอร์ช่วยปรับโครงสร้างกระดูกให้ใบหน้าดูมีมิติขึ้น เหมาะกับสายเกา สายฝอ หรือคนที่อยากถ่ายรูปแล้วหน้าปังทุกมุม
- ผู้ที่มีผิวแห้ง ขาดน้ำ หรือรูขุมขนกว้าง เพราะฟิลเลอร์มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid ที่ช่วยอุ้มน้ำได้ดี ทำให้ผิวดูฉ่ำ สุขภาพดีขึ้นจากภายใน
- ผู้ที่มีหลุมสิวหรือผิวไม่เรียบ ฟิลเลอร์สามารถเติมเต็มรอยหลุมสิวให้ตื้นขึ้น ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
โดยสรุป ฟิลเลอร์เหมาะกับคนที่ต้องการฟื้นฟูความสมดุลของใบหน้าและผิวพรรณอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องผ่าตัด และอยากเห็นผลทันใจแบบสายสวยยุคใหม่ที่เน้นสวยละมุน ดูไม่ออกว่าทำ ซึ่งถ้าทำด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง ผลลัพธ์จะดูเนียนเป็นธรรมชาติ และช่วยคืนความมั่นใจได้อย่างยาวนาน
ฟิลเลอร์ ฉีดจุดไหนได้บ้าง ?
ฟิลเลอร์เป็นหัตถการที่ช่วยเติมเต็มและปรับรูปหน้าได้อย่างหลากหลาย โดยใช้ Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารที่ปลอดภัยและสลายเองได้ตามธรรมชาติ ผลลัพธ์คือผิวและรูปหน้าที่ดูสดใสขึ้นทันที โดยตำแหน่งยอดนิยมที่สามารถฉีดได้ มีดังนี้
-
ฟิลเลอร์ใต้ตา การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะสำหรับคนที่มีร่องลึกหรือเบ้าตาดูลึกกว่าปกติ ซึ่งมักทำให้หน้าดูเหนื่อยและแก่กว่าวัย ฟิลเลอร์ Hyaluronic Acid จะช่วยเติมเต็มบริเวณใต้ตาให้ผิวกลับมาเรียบเนียน ลดเงาที่ทำให้ตาดูคล้ำ ผลลัพธ์คือใบหน้าสดใสขึ้นทันที ดูไม่โทรม ปริมาณที่ใช้โดยเฉลี่ยประมาณ 1–2 cc ทั้งสองข้าง ขึ้นกับความลึกของร่องใต้ตา
-
ฟิลเลอร์ปาก ปัญหาปากบาง มุมปากตก หรือขอบปากไม่ชัด สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งช่วยเพิ่มวอลลุ่ม ทำให้ปากอิ่มฟู ดูน่ามองมากขึ้น ทรงปากสามารถปรับได้ตามต้องการ เช่น ปากสายเกาหลีที่ละมุนเป็นธรรมชาติ หรือปากสายฝอที่ชัดเจนและเซ็กซี่ ปริมาณที่ใช้ประมาณ 1–2 cc เพื่อปรับรูปทรงและเพิ่มความสมดุลของใบหน้า
-
ฟิลเลอร์ขมับ ขมับตอบหรือยุบตัวทำให้ใบหน้าดูแข็ง และโหนกแก้มชัดเกินไป ฟิลเลอร์ช่วยเติมเต็มขมับให้กลับมาเต็ม ลดความเด่นของโหนกแก้ม ใบหน้าดูละมุนและสมส่วนมากขึ้น อีกทั้งยังเชื่อมโยงกับศาสตร์โหงวเฮ้งที่เชื่อว่าช่วยเสริมเสน่ห์ ปริมาณที่ใช้โดยเฉลี่ยข้างละ 1–2 cc
-
ฟิลเลอร์แก้มตอบ สำหรับคนที่มีแก้มตอบจนใบหน้าดูโทรม การฉีดฟิลเลอร์ช่วยเติมเต็มพื้นที่ให้ใบหน้าดูมีน้ำมีนวลมากขึ้น ทำให้โครงหน้าสมดุลขึ้น และช่วยเสริมให้ดูอ่อนเยาว์กว่าเดิม การฉีดแก้มตอบมักใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 2–4 cc ทั้งสองข้าง ขึ้นอยู่กับความลึกและพื้นที่ที่ต้องการเติมเต็ม
- ฟิลเลอร์ร่องแก้ม ร่องแก้มลึกเป็นสัญญาณของผิวที่สูญเสียคอลลาเจนและวอลลุ่ม การฉีดฟิลเลอร์ช่วยยกและเติมเต็มร่องแก้มให้ตื้นขึ้น ทำให้ใบหน้าดูสดชื่นและอ่อนวัยมากขึ้น ปริมาณที่ใช้เฉลี่ย 1–2 cc ต่อข้าง ขึ้นอยู่กับความลึกของร่อง
-
ฟิลเลอร์แก้มส้ม แก้มส้มคือส่วนโหนกแก้มด้านหน้า การฉีดฟิลเลอร์ในตำแหน่งนี้ช่วยให้ใบหน้าดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้น ทำให้รอยยิ้มมีเสน่ห์ เป็นตำแหน่งยอดนิยมในกลุ่มสาว ๆ ที่อยากได้ลุคสดใสเป็นธรรมชาติ ปริมาณการฉีดเฉลี่ย 1–2 cc
-
ฟิลเลอร์คาง การฉีดฟิลเลอร์คางช่วยปรับรูปหน้าให้เรียวสมส่วนมากขึ้น เหมาะกับคนที่คางสั้นหรือถอย ทำให้สัดส่วนใบหน้าดูบาลานซ์และเสริมความมั่นใจได้อย่างมาก ปริมาณที่ใช้ทั่วไปอยู่ที่ 1–2 cc
-
ฟิลเลอร์กรอบหน้า (Jawline) การเติมฟิลเลอร์ที่กรอบหน้าช่วยทำให้เส้นขอบกรามชัดขึ้น แก้ปัญหาหน้าดูหย่อนคล้อยหรือไม่มีมิติ เหมาะกับคนที่อยากได้ลุคหน้าเรียวชัด ปริมาณที่ใช้เฉลี่ย 2–4 cc
-
ฟิลเลอร์หน้าผาก หน้าผากแบนหรือยุบมักทำให้หน้าดูแข็ง การฉีดฟิลเลอร์ช่วยปรับหน้าผากให้โค้งนูนละมุน รับกับโครงหน้าโดยรวม ใบหน้าดูสมดุลขึ้น ปริมาณที่ใช้เฉลี่ย 3–6 cc ตามพื้นที่และรูปทรงที่ต้องการ
-
ฟิลเลอร์ปรับรูปหน้า บางครั้งต้องฉีดหลายตำแหน่งร่วมกัน เช่น ขมับ คาง และกรอบหน้า เพื่อบาลานซ์ใบหน้าโดยรวม การทำงานแบบนี้ช่วยปรับโครงหน้าให้สมดุลและได้สัดส่วนที่ชัดเจน ปริมาณที่ใช้ขึ้นกับปัญหาแต่ละบุคคล
-
ฟิลเลอร์สะโพก (TBL Clinic ไม่รับฉีดฟิลเลอร์สะโพก) สำหรับคนที่ต้องการเพิ่มความโค้งเว้า ฟิลเลอร์สามารถช่วยเสริมสะโพกให้ได้ทรงที่ดูสวยและมีวอลลุ่มมากขึ้น เหมาะกับผู้ที่ไม่อยากผ่าตัดเสริมสะโพก ปริมาณที่ใช้ค่อนข้างมาก ขึ้นกับทรงที่ต้องการ
-
ฉีดดอลลี่อาย การฉีดใต้ตาล่างเล็กน้อยเพื่อสร้างแนวกล้ามเนื้อ orbicularis oculi ให้เด่น ทำให้ดวงตาดูแบ๊วและสดใสแบบสายเกาหลี ปริมาณที่ใช้ประมาณ 0.5–1 cc ต่อข้าง
-
ฟิลเลอร์น้องชาย / ฟิลเลอร์น้องสาว (TBL Clinic ไม่รับฉีดฟิลเลอร์น้องชาย/น้องสาว) ใช้เพื่อการเสริมบุคลิกภาพ เพิ่มความมั่นใจ โดยฟิลเลอร์ช่วยเพิ่มขนาดและปรับรูปทรงให้น่าดูมากขึ้น แม้จะไม่ใช่จุดยอดนิยมเท่าใบหน้า แต่ก็เป็นอีกหนึ่งการรักษาที่ทำได้ ปริมาณที่ใช้ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละบุคคล
-
ฟิลเลอร์งานผิว ฟิลเลอร์เนื้อเบาที่ออกแบบมาเพื่อใช้ฉีดในผิวตื้นๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น กักเก็บน้ำ ลดรูขุมขน และทำให้ผิวดูใสเนียนขึ้นจากภายใน เหมาะกับคนที่ผิวแห้งหรือขาดน้ำ ใช้ปริมาณประมาณ 1–2 cc ทั่วใบหน้า
-
ฟิลเลอร์มือ อีกหนึ่งจุดที่หลายคนไม่คาดคิด คือการฉีดฟิลเลอร์ที่มือ เพื่อแก้ปัญหามือเหี่ยว มีเส้นเลือดและเส้นเอ็นชัดเจน ฟิลเลอร์ช่วยเติมเต็มให้มือนุ่มนวล ดูเด็กลง ปริมาณที่ใช้เฉลี่ย 1–2 cc ต่อข้าง
อ่านเพิ่มเติมที่บทความ : ฟิลเลอร์ฉีดจุดไหนได้บ้าง
ฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี แนะนำฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน
การเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและเป็นธรรมชาติ ปัจจุบันมียี่ห้อฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมและผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสากล ได้แก่ e.p.t.q, Revolax, Restylane, และ Definisse แต่ละยี่ห้อมีจุดเด่นและความเหมาะสมสำหรับการใช้งานในบริเวณต่างๆ ดังนี้
|
ยี่ห้อฟิลเลอร์ |
จุดเด่น | การใช้งานที่เหมาะสม |
| e.p.t.q | เนื้อเจลนิ่ม เกลี่ยง่าย สลายได้เองภายใน 12 เดือน | ใต้ตา ร่องแก้ม ริมฝีปาก |
| Revolax | เนื้อเจลยืดหยุ่นสูง อยู่ได้นานถึง 18 เดือน | เติมคาง สันจมูก ปรับรูปหน้า |
| Restylane | มี Hyaluronic Acid คุณภาพสูง ผ่านการรับรองจาก FDA | ร่องแก้ม ริ้วรอยรอบดวงตา |
| Definisse | เนื้อเจลหนาแน่น เหมาะสำหรับการยกกระชับ | คาง โหนกแก้ม กรอบหน้า |
ความปลอดภัยและการรับรองมาตรฐาน
ฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมล้วนผ่านการรับรองจากองค์กรด้านความปลอดภัย เช่น FDA (องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา) และ CE (มาตรฐานความปลอดภัยยุโรป) จึงมั่นใจได้ว่าปลอดภัยและมีคุณภาพสูง นอกจากนี้ การเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับจุดที่ฉีดช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาดูเป็นธรรมชาติและลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง
คำแนะนำในการเลือกฟิลเลอร์
เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินปัญหาและเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ การเลือกคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือและใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานถือเป็นหัวใจสำคัญของการทำหัตถการฟิลเลอร์ที่ปลอดภัย
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ ต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง ?
การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความมั่นใจในผลลัพธ์ เพื่อให้ได้ประสบการณ์ที่ปลอดภัยและผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ คุณควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้
- งดอาหารเสริมและยาบางประเภท ควรงดรับประทานอาหารเสริม เช่น วิตามิน E น้ำมันปลา หรือยาแอสไพริน อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนฉีด เนื่องจากอาหารเสริมและยาบางประเภทอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรอยฟกช้ำและเลือดออกง่ายหลังหัตถการ
- หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ งดการดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนการฉีดฟิลเลอร์ เพราะแอลกอฮอล์อาจทำให้เส้นเลือดขยายตัว ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการบวมและรอยช้ำหลังฉีด
- ปกป้องผิวจากแสงแดด หลีกเลี่ยงการตากแดดจัดหรือทำกิจกรรมกลางแจ้งที่อาจทำให้ผิวระคายเคือง โดยเฉพาะบริเวณที่คุณตั้งใจจะฉีดฟิลเลอร์ เพื่อเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับการหัตถการ
- พักผ่อนให้เพียงพอ การพักผ่อนที่เพียงพอช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้นหลังการฉีด ควรหลีกเลี่ยงการอดนอนหรือทำกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายเหนื่อยล้าก่อนวันหัตถการ
- เตรียมข้อมูลและปรึกษาแพทย์ ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับฟิลเลอร์ที่คุณสนใจ รวมถึงบริเวณที่ต้องการฉีด และปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินความเหมาะสม การพูดคุยกับแพทย์จะช่วยให้คุณเข้าใจขั้นตอนและผลลัพธ์ที่คาดหวังได้อย่างชัดเจน
ขั้นตอนการฉีด
- ทำความสะอาดใบหน้าในจุดที่ฉีด เพื่อความสะอาด และปลอดภัย
- แปะยาชาและประคบน้ำแข็งก่อนฉีดฟิลเลอร์ เพื่อช่วยลดความเจ็บจากเข็ม
- ฉีดฟิลเลอร์ตามจุดที่ได้วางแผนไว้ โดยอาจใช้เทคนิคพิเศษเพื่อกระจายสารให้เรียบเนียน
- หมอแนะนำวิธีดูแลหลังฉีดฟิลเลอร์ เพื่อให้ฟิลเลอร์เข้าที่เร็ว และอยู่ได้นานขึ้น
- หลังฉีดฟิลเลอร์มีการนัดติดตามผลหลังทำทุกเคส
ความสำคัญของการเตรียมตัว
การเตรียมตัวที่เหมาะสมช่วยลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง เช่น อาการบวมช้ำ และช่วยให้ผลลัพธ์จากการฉีดฟิลเลอร์ออกมาสมบูรณ์แบบ ดังนั้น ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และดูแลสุขภาพร่างกายให้พร้อมเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในระยะยาว
อาการหลังฉีดฟิลเลอร์ ที่อาจเกิดขึ้นได้
หลังการฉีดฟิลเลอร์ ผู้รับบริการอาจพบอาการทั่วไปที่เกิดขึ้นชั่วคราว ซึ่งเป็นผลจากกระบวนการฉีด โดยอาการเหล่านี้มักไม่รุนแรงและจะหายไปเองภายในเวลาไม่นาน โดยภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นหลังการฉีดฟิลเลอร์ (Filler) อาจมีอาการบวมแดงเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด สามารถหายได้เองภายใน 2 – 3 วัน อาจเกิดผื่นแดงหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีด สามารถหายได้เองภายใน 1 – 2 สัปดาห์
อาการทั่วไปที่อาจเกิดขึ้น
- มีรอยแดง บริเวณที่ฉีดอาจมีรอยแดงเล็กน้อย เนื่องจากการแทงเข็ม
- มีการบวมเล็กน้อย เป็นอาการปกติที่เกิดจากการฉีดสารเข้าสู่ผิว อาการบวมนี้มักจะลดลงใน 24-48 ชั่วโมง
- มีรอยช้ำ อาจเกิดจากการกระทบกระเทือนของเส้นเลือดใต้ผิวหนัง แต่รอยช้ำจะค่อยๆ จางลงใน 1-2 สัปดาห์
คำแนะนำหลังฉีดฟิลเลอร์
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ฉีดใน 24 ชั่วโมงแรก
- หากอาการบวมหรือช้ำยังไม่ดีขึ้น หรือมีอาการอื่นที่ผิดปกติ เช่น ปวดมากผิดปกติ หรือมีรอยแดงที่ขยายตัว ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์
การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุดและลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ ดังนั้นการปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้จะช่วยให้ฟิลเลอร์เข้าที่ได้เร็วขึ้นและคงความสวยงามได้ยาวนาน ซึ่งควรที่จะหลีกเลี่ยงการสัมผัส บีบนวด หรือคลึงบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ เพราะอาจทำให้เกิดการเคลื่อน (migration) ของฟิลเลอร์ไปจากบริเวณที่ฉีดได้ แนะนำดื่มน้ำมาก ๆ อย่างน้อยวันละ 6 – 8 แก้วหรือ 2 ลิตร/วัน โดยเฉพาะช่วง 4 – 5 วันแรก การดื่มน้ำจะช่วยให้ฟิลเลอร์ที่เป็นสารอุ้มน้ำทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
- งดการกดหรือสัมผัสบริเวณที่ฉีด เพื่อป้องกันการเคลื่อนที่ของฟิลเลอร์และลดการระคายเคือง
- หลีกเลี่ยงความร้อนสูง เช่น การอบซาวน่า อาบน้ำอุ่น หรือโดนแสงแดดจัดในช่วง 48 ชั่วโมงแรก
- งดออกกำลังกายหนัก การออกกำลังกายที่ใช้แรงมากอาจกระตุ้นให้เกิดการบวมมากขึ้น
คำแนะนำเพิ่มเติม
- ดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยให้ฟิลเลอร์คงตัวและทำงานได้ดีขึ้น เพราะฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid (HA) มีคุณสมบัติในการกักเก็บน้ำ
- หลีกเลี่ยงการแต่งหน้: ควรงดแต่งหน้าใน 24 ชั่วโมงแรก เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
ข้อดี-ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์มีอะไรบ้าง ?
การฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการยอดนิยมที่ช่วยแก้ปัญหาร่องลึกและปรับรูปหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ แต่เช่นเดียวกับหัตถการอื่นๆ การฉีดฟิลเลอร์ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ
ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์
- เติมเต็มร่องลึกโดยไม่ต้องผ่าตัด การฉีดฟิลเลอร์ช่วยแก้ปัญหาร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก หรือขมับตอบ โดยไม่ต้องพักฟื้น
- เห็นผลทันที หลังฉีดสามารถสังเกตความเปลี่ยนแปลงได้ทันที และผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ฟิลเลอร์บางประเภทช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ในระยะยาว
- ปรับรูปหน้าได้หลากหลาย ใช้เสริมคาง เติมริมฝีปาก หรือปรับกรอบหน้าได้ตามความต้องการ
ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์
- ผลลัพธ์ไม่ถาวร ฟิลเลอร์จะค่อยๆ สลายไปเองในระยะเวลา 6-12 เดือน ทำให้ต้องฉีดซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์
- อาจเกิดผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น รอยแดง บวม หรือช้ำ ซึ่งมักหายเองภายใน 1-2 วัน
- ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของแพทย์ หากฉีดโดยผู้ไม่มีประสบการณ์ อาจทำให้เกิดการเคลื่อนตัวของฟิลเลอร์หรือผลลัพธ์ที่ไม่เป็นธรรมชาติ
การพิจารณาข้อดีและข้อเสียเหล่านี้ช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อการฉีดที่ปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ
ฉีดฟิลเลอร์เจ็บไหม ?
ฉีดฟิลเลอร์เจ็บไหม ถือเป็นคำถามยอดฮิตที่หลายคนอยากรู้ ก่อนอื่นต้องบอกว่าระดับความเจ็บขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งตำแหน่งที่ฉีด เทคนิคการฉีด และชนิดฟิลเลอร์ที่ใช้ โดยปัจจุบันฟิลเลอร์ส่วนใหญ่มีส่วนผสมของ Lidocaine ซึ่งเป็นยาชาในตัว ช่วยลดความรู้สึกเจ็บขณะฉีดได้ค่อนข้างดี ร่วมกับการทายาชาหรือประคบน้ำแข็งก่อนฉีด ทำให้ความรู้สึกเจ็บอยู่ในระดับเบามาก
ความรู้สึกที่เจอได้จริงคือ จิ๊ดๆ ตึงๆ มากกว่าความเจ็บปวดชัดเจน หลังฉีดอาจมีอาการบวมแดงเล็กน้อย ซึ่งเป็นปกติและมักหายไปภายในไม่กี่วัน จุดที่ไวต่อความรู้สึกอย่างริมฝีปากหรือใต้ตาอาจรู้สึกมากกว่าบริเวณอื่น แต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่คนส่วนใหญ่รับได้สบาย สรุปคือการฉีดฟิลเลอร์ยุคนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เทคโนโลยีและเทคนิคทางการแพทย์พัฒนาไปมาก จนทำให้ขั้นตอนนี้ค่อนข้างเบาและสบาย เหมาะกับคนที่อยากปรับลุคแบบไม่ต้องกลัวเจ็บเกินจริงครับ
ฉีดฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหน ?
ฉีดฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหน เป็นหนึ่งในคำถามที่หลายคนอยากรู้ก่อนตัดสินใจจริง ๆ โดยทั่วไปฟิลเลอร์ที่ใช้กันส่วนใหญ่ทำจาก กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid: HA) ซึ่งสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ อายุการคงตัวของฟิลเลอร์จะขึ้นอยู่กับยี่ห้อ รุ่น เนื้อสัมผัส และตำแหน่งที่ฉีด เช่น บริเวณที่มีการขยับบ่อยอย่างริมฝีปาก อาจอยู่ได้ประมาณ 6–9 เดือน ส่วนบริเวณที่ไม่ค่อยขยับ เช่น คาง หรือขมับ มักอยู่ได้ 12–18 เดือน
นอกจากนี้ ปัจจัยเฉพาะบุคคลอย่างอัตราการเผาผลาญของร่างกาย การดูแลหลังฉีด และไลฟ์สไตล์ เช่น การออกกำลังกายหนักหรือการโดนแดดจัด ก็มีผลต่อการสลายของฟิลเลอร์เช่นกัน สรุปง่ายๆ ฟิลเลอร์ไม่ใช่การแก้ปัญหาถาวร แต่ให้ผลลัพธ์ที่ยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ ใครที่อยากอัปเกรดลุคให้ปังต่อเนื่อง ควรวางแผนเติมฟิลเลอร์ตามรอบที่เหมาะสมกับสภาพผิวและโครงหน้าของตัวเองครับ
ฉีดฟิลเลอร์กี่วันเข้าที่
ฉีดฟิลเลอร์กี่วันเข้าที่ เป็นคำถามที่หลายคนอยากรู้ก่อนตัดสินใจทำจริง ๆ หลังฉีดฟิลเลอร์ไปแล้ว ส่วนใหญ่จะเห็นผลทันที แต่ผลลัพธ์ในช่วงแรกอาจยังมีอาการบวม แดง หรือช้ำเล็กน้อย ซึ่งเป็นอาการปกติของผิวที่เพิ่งผ่านการฉีดสารเติมเต็มเข้าไป โดยทั่วไปอาการเหล่านี้จะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 3–7 วัน
ช่วงเวลาที่ฟิลเลอร์เริ่มเข้าที่จริงๆ มักอยู่ที่ประมาณ 2 สัปดาห์ เพราะเป็นช่วงที่เนื้อเจลฟิลเลอร์เซ็ตตัวเข้ากับผิว และอาการบวมยุบลงจนเห็นรูปทรงที่ชัดเจนมากขึ้น หากเป็นบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวบ่อยอย่างริมฝีปากหรือร่องแก้ม อาจต้องใช้เวลานานกว่านี้เล็กน้อย หลังจากครบ 1 เดือน จะถือว่าเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและเสถียรที่สุด ดังนั้นใครที่เพิ่งฉีดเสร็จไม่ต้องกังวลว่าหน้าจะเปลี่ยนไปมา เพราะฟิลเลอร์จะปรับเข้ากับผิวอย่างเป็นธรรมชาติ และหากดูแลหลังทำอย่างเหมาะสม ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานและสวยแบบไม่ต้องพึ่งฟิลเตอร์ครับ
ฟิลเลอร์สลายเองได้ไหม
ฟิลเลอร์สลายเองได้ไหม เป็นอีกหนึ่งคำถามที่คนคิดจะฉีดต้องการความมั่นใจ ฟิลเลอร์ที่นิยมใช้กันส่วนใหญ่คือ Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายเรามีอยู่แล้ว ทำให้สามารถสลายไปเองตามธรรมชาติผ่านเอนไซม์ Hyaluronidase ที่มีอยู่ในผิว กระบวนการนี้ใช้เวลาประมาณ 6–18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ ความเข้มข้นของเจล และตำแหน่งที่ฉีด
ข้อดีของฟิลเลอร์ชนิด HA คือความปลอดภัยและยืดหยุ่น หากไม่ถูกใจผลลัพธ์หรือเกิดปัญหา สามารถฉีดเอนไซม์ Hyaluronidase เข้าไปเพื่อเร่งการสลายได้ทันที ต่างจากฟิลเลอร์ชนิดถาวรที่ไม่สามารถสลายเองได้และมีความเสี่ยงสูงกว่า ดังนั้นการเลือกใช้ฟิลเลอร์ HA จึงถือว่าเป็นทางเลือกที่มั่นใจได้มากกว่า เพราะนอกจากจะให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ยังสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามช่วงเวลาที่ต้องการ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะอยู่ติดไปตลอดครับ
ฉีดฟิลเลอร์ปลอม อันตรายหรือไม่ ?
ฉีดฟิลเลอร์ปลอม อันตรายหรือไม่ เป็นประเด็นที่ต้องพูดให้ชัดครับ ฟิลเลอร์ปลอมคือผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่มี อย. และมักใช้สารที่ไม่ใช่ Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายสามารถสลายเองได้ แต่กลับเป็นสารซิลิโคนเหลว พาราฟิน หรือเจลที่ไม่สามารถย่อยสลาย ทำให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรง เช่น การอักเสบเรื้อรัง ก้อนแข็งใต้ผิว ผิวเป็นคลื่น หรือร้ายแรงที่สุดคือการอุดตันของเส้นเลือดจนทำให้เนื้อตายหรือสูญเสียการมองเห็นได้
นอกจากนี้ ฟิลเลอร์ปลอมยังไม่สามารถแก้ไขด้วยเอนไซม์ Hyaluronidase เหมือนฟิลเลอร์แท้ หากเกิดปัญหาต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเอาออก ซึ่งเสี่ยงสูงและใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่ามาก ดังนั้นการเลือกคลินิกที่ใช้ฟิลเลอร์แท้ ตรวจสอบขวด แพ็กเกจ และล็อตสินค้าให้ชัดเจนก่อนฉีด เป็นวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงทั้งหมด ใครที่อยากปรับลุคด้วยฟิลเลอร์ ต้องอย่าหลงเชื่อราคาถูกเกินจริง เพราะสุขภาพและความปลอดภัยสำคัญที่สุดครับ
ฟิลเลอร์แท้ ดูยังไง ? เลือกฉีดฟิลเลอร์ให้ปลอดภัย
การเลือกฟิลเลอร์ที่ปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากเผลอไปฉีดฟิลเลอร์ปลอม อาจเสี่ยงอักเสบ ติดเชื้อ หรือเกิดก้อนแข็งใต้ผิวได้ วิธีสังเกตฟิลเลอร์แท้ที่ควรรู้มีดังนี้ครับ
-
มีเลข อย. ชัดเจน ฟิลเลอร์แท้ต้องผ่านการรับรองจาก อย. ประเทศไทย สามารถตรวจสอบเลขล็อตสินค้าได้จริง
-
กล่อง-บรรจุภัณฑ์ครบถ้วน ต้องมีสติกเกอร์ เลขซีเรียล ขวดซีลปิดสนิท ไม่ควรใช้ของที่เปิดแล้วหรือไม่มีฉลากภาษาไทยกำกับ
-
ผลิตโดยบริษัทที่มีชื่อเสียง แบรนด์ฟิลเลอร์ที่เชื่อถือได้ เช่น Restylane, Juvederm, Neuramis, E.P.T.Q และ Revolax ซึ่งมีการใช้แพร่หลายทั่วโลก
-
เปิดกล่องให้ดูต่อหน้า คลินิกที่ดีต้องแกะกล่องใหม่ต่อหน้าคนไข้ พร้อมโชว์ขวดและสติกเกอร์ ให้มั่นใจว่าเป็นของแท้แน่นอน
-
ราคาเหมาะสม ฟิลเลอร์แท้จะมีต้นทุนสูง หากเจอราคาถูกผิดปกติควรระวังไว้ก่อน
ฉีดฟิลเลอร์ ที่ไหนดี ?
ฉีดฟิลเลอร์ ที่ไหนดี ? เป็นคำถามที่หลายคนเสิร์ชบ่อยก่อนตัดสินใจ เพราะการเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์มีผลโดยตรงต่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ได้ครับ หมอขอสรุปเป็นข้อ ๆ ให้อ่านง่ายดังนี้
-
เลือกฟิลเลอร์แท้ มี อย. ฟิลเลอร์ ที่ดีควรเป็นของแท้ ผ่านการรับรองจาก อย. ตรวจสอบขวดและล็อตสินค้าได้จริง เพื่อความมั่นใจว่าปลอดภัยต่อร่างกาย
-
ทีมแพทย์มีความรู้ด้านกายวิภาค คลินิกฉีดฟิลเลอร์ ที่น่าเชื่อถือควรมีแพทย์ที่เข้าใจโครงสร้างใบหน้า เพราะตำแหน่งการฉีดแต่ละจุดมีเส้นเลือดและเส้นประสาทที่ซับซ้อน
-
บรรยากาศและเครื่องมือสะอาดปลอดเชื้อ สถานที่ต้องได้มาตรฐาน สะอาด มีการใช้เข็มและอุปกรณ์แบบใช้ครั้งเดียว เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
-
บริการหลังทำชัดเจน คลินิกที่ดีต้องมีการติดตามผล ให้คำแนะนำหลังฉีดอย่างใกล้ชิด
ดังนั้นใครที่กำลังเสิร์ช “ฉีดฟิลเลอร์ ที่ไหนดี” หรือ “ฉีดฟิลเลอร์ ใกล้ฉัน” ควรพิจารณาปัจจัยเหล่านี้ร่วมกัน จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่สวย ปลอดภัย และมั่นใจครับ
อยากปรับลุค เติมเต็มความมั่นใจแบบปลอดภัยด้วย ฟิลเลอร์แท้ หรือยังครับ?
ทักมาคุยกับคุณหมอได้เลยที่ Line Official หรือ Inbox Facebook เพื่อเช็กโปรโมชันและปรึกษาฟรี ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์กับคลินิกที่ไว้ใจได้
เพราะการเลือก คลินิกฉีดฟิลเลอร์ ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ให้เราช่วยดูแลคุณอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ก่อนทำจนถึงการติดตามผลหลังทำครับ
รีวิว ฉีดฟิลเลอร์กับ TBL Clinic ดีจริงไหม ?
ฉีดฟิลเลอร์ ราคา เท่าไหร่ รวมโปรโมชั่นฉีดฟิลเลอร์ ที่ TBL Clinic
สรุป
ฉีดฟิลเลอร์ (Filler) เป็นหนึ่งในหัตถการที่ช่วยปรับรูปหน้าและแก้ปัญหาริ้วรอยได้อย่างตรงจุด เห็นผลทันทีหลังทำ และยังช่วยเพิ่มวอลลุ่มให้ผิวดูอิ่มฟูเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการเติมร่องแก้ม ใต้ตา คาง หรือริมฝีปาก ระยะเวลาการคงตัวขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์และตำแหน่งที่ฉีด การเลือกยี่ห้อและปริมาณที่เหมาะสมจึงสำคัญมาก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยและคุ้มค่ากับการลงทุน ทั้งนี้สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือการตรวจสอบว่าเป็นฟิลเลอร์แท้ มี อย. และฉีดโดยแพทย์ที่มีความรู้ความเข้าใจด้านกายวิภาค เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงในระยะยาว หากต้องการผลลัพธ์ที่สวยเป็นธรรมชาติและมั่นใจได้ การเลือกคลินิกที่เชื่อถือได้คือหัวใจหลักของการตัดสินใจครับ
FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ฟิลเลอร์
- การฉีดฟิลเลอร์คืออะไร
การฉีดฟิลเลอร์คือการเติมเต็มสารเข้าสู่ชั้นผิวหนังหรือใต้ผิวเพื่อแก้ไขร่องลึก ปรับรูปหน้า และฟื้นฟูความอ่อนเยาว์โดยไม่ต้องผ่าตัด - ไหมฟิลเลอร์คืออะไร
ไหมฟิลเลอร์หมายถึงกระบวนการที่ใช้ไหมหรือวัสดุพิเศษร่วมกับฟิลเลอร์เพื่อยกกระชับและเติมเต็มผิวในจุดต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ - ฟิลเลอร์มีกี่ประเภท
ฟิลเลอร์แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ Temporary Filler (ชั่วคราว), Semi-Permanent Filler (กึ่งถาวร), และ Permanent Filler (ถาวร) - ฟิลเลอร์แปลว่าอะไร
ฟิลเลอร์ (Filler) หมายถึงสารเติมเต็มที่ใช้ในทางการแพทย์หรือความงามเพื่อแก้ไขปัญหาและปรับปรุงรูปลักษณ์ - ฉีดฟิลเลอร์มีข้อเสียอะไรบ้าง
ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์คือผลลัพธ์ไม่ถาวร ต้องฉีดซ้ำทุก 6-12 เดือน และอาจเกิดอาการบวม ช้ำ หรือผลข้างเคียงเล็กน้อยหลังฉีด
สำหรับท่านใดที่มีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ทีมแพทย์จาก To Beloved Clinic พร้อมให้คำปรึกษาฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ท่านสามารถติดต่อสอบถามได้ผ่านทาง Line Official หรือ Inbox Facebook ทางคลินิกได้โดยตรง ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้ให้คำตอบด้วยตนเองครับ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
Call Center : 095-291-6565
Facebook : TBL Clinic-ทู บีเลิฟ คลินิก
e-mail : [email protected]
LINE : @tblclinic










