Glow Talk กลับมาอีกครั้ง พร้อมชวนทุกคนตั้งคำถามแบบไม่โลกสวยว่า… ปี 2025 แล้ว เรายังต้องทาสกินแคร์อยู่ไหม? เพราะตอนนี้เทรนด์ ฉีดผิว Skin Booster PRP หรือ Meso คือมาแรงสุดดด จนหลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า สกินแคร์ยังมีที่ยืนไหม หรือควรเทแล้วไปสายฉีดแทน? บทความนี้หมอจะพาไปรู้จักโลกใหม่ของการดูแลผิวแบบสาย Gen Z ที่ไม่แค่สวยไว แต่ต้องรู้จริงด้วยว่าอะไรบูสต์ผิว และอะไรบำรุงระยะยาว อ่านแล้วจะรู้เลยว่าฉีดผิวแค่ไหนเวิร์ก และ สกินแคร์ต้องอยู่จุดไหน ถึงจะบาลานซ์ได้แบบไม่เฟล
สกินแคร์ยังจำเป็นอยู่ไหม? เมื่อยุคนี้ ฉีดผิว ทำได้แทนหลายอย่างแล้ว
แม้เทรนด์ ฉีดผิว จะกลายเป็นทางลัดยอดฮิตของคนยุคใหม่ เพราะเห็นผลไว เติมผิวใสได้ตรงจุด ไม่ต้องรอเป็นเดือนเหมือนทาครีม แต่สกินแคร์ก็ยังไม่หลุดเกม นะครับ เพราะบทบาทของสกินแคร์คือการ เสริมเกราะป้องกันผิว (skin barrier) ให้แข็งแรงในทุกวัน ขณะที่การฉีด เช่น Skin Booster, PRP หรือ Meso จะเข้าไปช่วยเติมสารลึกระดับผิวชั้นใน ช่วยเร่งผลลัพธ์เฉพาะจุด
ถ้าเปรียบเทียบง่ายๆ
- ฉีดผิว = ตัวบูสต์ เห็นผลชัด รวดเร็ว
- สกินแคร์ = การบำรุงต่อเนื่อง ยืดอายุผิวให้แข็งแรง
สรุปคือ ถ้าอยากผิวดีระยะยาว ต้องใช้ทั้งสองควบคู่กันครับ ไม่ใช่เลือกแค่ทางใดทางหนึ่ง
การฉีดผิวคืออะไร? ทำไมคนหันมาฉีดมากขึ้น
การฉีดผิวคือหัตถการที่ส่งสารบำรุงเข้าสู่ผิวโดยตรง เช่น วิตามิน กรดอะมิโน หรือสารช่วยซ่อมแซมผิว เพื่อให้ผิวใสขึ้น ชุ่มชื้น ฟื้นฟูเร็วกว่าแค่การทาครีมที่ต้องซึมผ่านหลายชั้นผิว ในปี 2025 หลายคนหันมา ฉีดผิว มากขึ้น เพราะเห็นผลเร็วและตอบโจทย์ผิวเฉพาะด้านได้ดี เช่น
- Meso Therapy ฉีดสารบำรุงผิวกระจายทั่วหน้า ลดจุดด่างดำ ผิวดูสว่าง
- Skin Booster เติมความชุ่มชื้นลึกระดับเซลล์ผิว ผิวอิ่มฟู ดูเด็ก
- PRP (Platelet-Rich Plasma) ใช้พลาสม่าเข้มข้นจากเลือดตัวเอง ฟื้นฟูผิวแบบธรรมชาติ
- Juvelook ฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนแบบค่อยเป็นค่อยไป ช่วยให้ผิวกระชับและเรียบเนียน
ทั้งหมดนี้ตอบโจทย์คนยุคใหม่ที่ต้องการอะไรที่ “ทันใจแต่ไม่เสี่ยง” โดยยังอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญครับ
สกินแคร์มีบทบาทตรงไหนในยุคของหัตถการ
แม้การฉีดผิวจะมาแรง แต่สกินแคร์ ยังมีบทบาทสำคัญที่แทนไม่ได้ โดยเฉพาะในเรื่อง barrier ผิว หรือเกราะป้องกันผิว ซึ่งเป็นแนวหน้าสุดในการป้องกันมลภาวะ สารก่อการระคายเคือง และการสูญเสียน้ำจากผิว หลังทำหัตถการ เช่น Meso หรือ Skin Booster ผิวมักจะอ่อนแอลงชั่วคราว การใช้สกินแคร์ที่อ่อนโยนและเน้น skin barrier repair จะช่วยให้ผิวฟื้นตัวดีขึ้น นอกจากนี้ การบำรุงสม่ำเสมอด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์หรือสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น niacinamide, ceramide, หรือวิตามิน C ยังเป็นการดูแลผิวระยะยาวที่ช่วยให้ผลลัพธ์จากหัตถการอยู่ได้นานและผิวแข็งแรงขึ้นในระยะยาวครับ
ฉีดผิวช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง? แล้วต่างจากสกินแคร์ยังไง?
การฉีดผิว หรือการใช้หัตถการเพื่อส่งวิตามิน สารบำรุง หรือโมเลกุลซ่อมแซมเข้าสู่ชั้นผิวโดยตรง ช่วยแก้ปัญหาผิวได้แบบตรงจุดมากกว่าการใช้สกินแคร์เพียงอย่างเดียว โดยประโยชน์หลักๆ มีดังนี้
- เพิ่มความชุ่มชื้นลึกในผิว ด้วยการฉีดสารอย่าง Hyaluronic Acid หรือ Polyneucleotide เข้าไปโดยตรง
- ลดรอยสิว จุดด่างดำ และความหมองคล้ำ Meso หรือ Skin Booster ที่มี Vitamin C, Glutathione เข้มข้น
- ฟื้นฟูผิวโทรมจากการพักผ่อนน้อยหรือมลภาวะ PRP หรือ Juvelook ช่วยกระตุ้นเซลล์ผิวให้ซ่อมแซมตัวเอง
- เสริมคอลลาเจน ปรับผิวให้อิ่มฟูและเรียบเนียน
ต่างจากสกินแคร์ยังไง? สกินแคร์ทำงานบนผิวชั้นบน (epidermis) เป็นเกราะป้องกัน ดูแลประจำวัน ส่วนการฉีดผิวลงลึกถึง dermis เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็วกว่าครับ
และถ้าใครอยากบำรุงผิวให้ครบมิติยิ่งขึ้น นอกจากการฉีดผิวแล้ว ยังสามารถเสริมด้วย สูตร IV Drip ของ TBL Clinic ที่ช่วยฟื้นฟูทั้งร่างกายและผิวจากภายใน พร้อมสูตรเฉพาะที่เลือกได้ตามความต้องการ ดูสูตร IV Drip ทั้งหมดได้ที่นี่
ฉีดบ่อยแต่ไม่ใช้สกินแคร์ เสี่ยงผิวขาดสมดุลจริงไหม?
คำตอบคือเสี่ยงจริงครับ เพราะแม้การฉีดผิวจะเติมสารบำรุงลึกถึงชั้น dermis แต่ผิวชั้นบน (epidermis) ยังต้องการเกราะป้องกันจากมลภาวะ แสงแดด และการสูญเสียน้ำ ซึ่งหน้าที่นี้คือของ “สกินแคร์” โดยเฉพาะกลุ่มมอยซ์เจอไรเซอร์ และผลิตภัณฑ์ที่ช่วยฟื้น barrier ผิว เช่น ceramide หรือ fatty acid หากละเลยการบำรุงผิวชั้นนอกไป ผิวอาจแห้งกร้าน ระคายเคืองง่าย และไวต่อสารต่างๆ แม้จะฉีดบ่อยแค่ไหน ก็อาจเกิดอาการ “ผิวไม่บาลานซ์” หรือ imbalance skin barrier ได้ สรุปคือ หัตถการบูสต์ผลลัพธ์ สกินแคร์เสริมความยั่งยืน การดูแลผิวให้สมดุลควรทำควบคู่ ไม่ใช่เลือกแค่อย่างใดอย่างหนึ่งครับ
สกินแคร์ หรือ หัตถการ ? ใช้อะไรให้เหมาะกับสภาพผิวของคุณ
การเลือกดูแลผิวให้เหมาะ ต้องเริ่มจาก “เข้าใจผิวตัวเองก่อน” ถ้าคุณมีผิวมัน รูขุมขนกว้าง และปัญหาสิวเป็นหลัก สกินแคร์ที่มี BHA หรือ niacinamide อาจช่วยได้ดีโดยไม่ต้องพึ่งหัตถการบ่อยๆ แต่ถ้าคุณมีผิวแห้ง ขาดน้ำ หรือเริ่มมีริ้วรอย การทำ Skin Booster หรือ Meso ก็อาจให้ผลลัพธ์ชัดเจนกว่าในระยะสั้น เพราะเป็นการเติมสารบำรุงตรงสู่ชั้นผิว (dermis) สำหรับคนที่ผิวแพ้ง่าย barrier อ่อนแอ แนะนำเริ่มจากการฟื้นผิวด้วยสกินแคร์ก่อน แล้วจึงค่อยพิจารณาหัตถการร่วมภายหลัง
คำแนะนำคือ ไม่ต้องเลือกข้าง แต่ให้เลือกสิ่งที่ตอบโจทย์ผิวเรามากที่สุดในช่วงเวลานั้นครับ
ผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย ผิวขาดน้ำ ควรเริ่มจากอะไร?
ผิวที่แห้ง แพ้ง่าย หรือขาดน้ำ มักเกิดจาก “skin barrier” ที่อ่อนแอครับ ซึ่งหน้าที่ของเกราะป้องกันผิวคือช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นและป้องกันสารก่อการระคายเคืองจากภายนอก
ดังนั้นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด ไม่ใช่การฉีด หรือสกินแคร์ตัวแรง แต่ควรเน้นการ “ฟื้นฟูผิว” ด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ที่มี ceramide, panthenol, hyaluronic acid และหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือสารผลัดเซลล์แรงๆ หากอยากทำหัตถการร่วม เช่น Skin Booster หรือ Meso ควรเลือกสูตรอ่อนโยน และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพราะผิวกลุ่มนี้มีโอกาสระคายเคืองง่ายกว่าผิวทั่วไป เริ่มจากการเสริมเกราะผิวให้แข็งแรงก่อน แล้วค่อยเพิ่มการบำรุงในลำดับถัดไปครับ
ผิวแข็งแรงอยู่แล้ว ใช้หัตถการเป็นตัวบูสต์ได้ไหม
ผิวแข็งแรงเป็นพื้นฐานที่ดีมากครับ และถ้าคุณมี skin barrier ที่สมบูรณ์ดีอยู่แล้ว การเลือกใช้หัตถการก็สามารถช่วยอัปเกรดผิว ได้อีกขั้น เช่น
- Skin Booster ช่วยเติมความชุ่มชื้นลึกระดับผิวหนังแท้
- Meso Brightening เพิ่มความกระจ่างใสให้ผิวดูสดใสขึ้น
- PRP หรือ Juvelook กระตุ้นคอลลาเจน ฟื้นฟูผิวในระยะยาว
ข้อดีคือผิวที่แข็งแรงจะฟื้นตัวไว และมีความเสี่ยงระคายเคืองน้อยกว่า ทำให้หัตถการออกฤทธิ์ได้เต็มที่แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องไม่ทำบ่อยเกินไป และเลือกสูตรหรือเทคนิคที่เหมาะกับผิว เพื่อไม่ให้ผิวชินหรือเกิด over-treatment การใช้หัตถการเป็นตัวบูสต์ในผิวที่แข็งแรง คือจังหวะพอดีที่ช่วยให้ผิวคุณ “ไปต่อ” ได้อย่างมีคุณภาพครับ
ฉีดผิวดูแลเร็วจริง แต่ต้องมีวิธีเลือกคลินิกให้ปลอดภัย
การฉีดผิวถือเป็นหัตถการที่ให้ผลค่อนข้างไว เช่น ผิวกระจ่างใสขึ้นใน 2–3 วัน หรือผิวชุ่มชื้นขึ้นทันทีหลังทำ แต่สิ่งที่มักถูกมองข้ามคือความปลอดภัยของสถานที่ให้บริการ ซึ่งสำคัญพอๆ กับสูตรที่ฉีดเลยครับ
ก่อนตัดสินใจฉีดควรตรวจสอบว่า
- คลินิกมีใบอนุญาตถูกต้องจากกระทรวงสาธารณสุข
- วิตามินที่ใช้มี อย. และฉลากชัดเจน
- แพทย์เป็นผู้ให้บริการจริง ไม่ใช่บุคคลทั่วไป
- มีการเปิดขวดใหม่ให้ดูทุกครั้ง
- มีการประเมินผิวก่อนฉีด
การดูแลผิวเร็วไม่ควรแลกกับความเสี่ยงครับ เลือกคลินิกที่ “โปร่งใส ปลอดภัย และมีมาตรฐาน” จะช่วยให้ผลลัพธ์ที่ได้ดีทั้งระยะสั้นและระยะยาวครับ
ทริคเล็กๆ จากคุณหมอ วิธีบาลานซ์สกินแคร์ + ฉีดผิว ให้ได้ผลระยะยาว
การฉีดผิวให้ผลชัดเจนในช่วงสั้น เช่น ลดหมอง ผิวฟูไว หรือบูสต์ความชุ่มชื้นในชั้นลึก แต่ถ้าอยากให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น ต้องไม่ลืมดูแลผิวด้วยสกินแคร์ควบคู่ครับ ทริคของหมอคือ แบ่งหน้าที่ให้ชัด
- หัตถการช่วยแก้ปัญหาที่ผิวลึก เช่น ขาดน้ำเรื้อรัง หรือเซลล์ทำงานช้า
- ส่วนสกินแคร์เป็นตัวเสริมเกราะผิว ช่วยคงสมดุล pH และลดการระคายเคืองจากมลภาวะ
แนะนำให้ใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะกับสภาพผิวเป็นประจำ เช้า-เย็น โดยเฉพาะหลังฉีดผิว และทากันแดดทุกวันไม่ให้ผิวอ่อนแอ เพราะฉะนั้น การบาลานซ์ทั้งสองอย่าง ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน แค่ต้องเข้าใจ “หน้าที่ของแต่ละตัว” และใช้ให้ตรงจังหวะเท่านั้นเองครับ
FAQ
Q: ฉีดผิวแทนครีมบำรุงได้เลยไหม?
A: ไม่ได้ทั้งหมดครับ ฉีดผิวช่วยฟื้นลึกแต่ยังต้องใช้สกินแคร์เสริมเกราะผิวภายนอก
Q: คนผิวมันยังต้องใช้สกินแคร์อยู่ไหมถ้าฉีดผิวแล้ว?
A: ยังต้องใช้อยู่ครับ เพื่อคงสมดุลผิวและลดการผลิตน้ำมันส่วนเกิน
Q: ฉีดผิวแล้วอยู่ได้นานแค่ไหน?
A: โดยเฉลี่ยอยู่ได้ 2–4 สัปดาห์ ขึ้นกับสูตรและการดูแลผิวหลังฉีด
Q: เลือกสูตรไหนดีถ้าไม่อยากใช้หลายอย่างร่วมกัน?
A: เลือกสูตรรวมวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น Skin Booster หรือสูตรผิวครบจบในตัว
Q: ควรฉีดผิวบ่อยแค่ไหนถึงจะเห็นผลชัดเจน?
A: เดือนละ 1–2 ครั้งต่อเนื่อง 2–3 เดือนจะเห็นผลชัดเจนและผิวแข็งแรงขึ้นครับ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
Call Center : 095-291-6565
Facebook : TBL Clinic-ทู บีเลิฟ คลินิก
e-mail : [email protected]
LINE : @tblclinic