เลขที่ ฆสพ./สบส 1536/2568

TBL Clinic

ฉีดวิตามินผิว ดีจริงไหม? กี่ครั้งเห็นผล? อันตรายไหม? ฉีดวิตามินที่ไหนดี?

ฉีดวิตามินผิว

หัวข้อ

ยุคนี้ไม่ต้องพึ่งฟิลเตอร์ เพราะแค่ฉีดวิตามินผิวก็ช่วยให้หน้าดูใสแบบ no app ได้จริง! หลายคนสงสัยว่าวิธีนี้ปลอดภัยไหม เห็นผลเมื่อไหร่ แล้วต้องไปฉีดที่ไหนถึงจะชัวร์ว่าปลอดภัยและไม่โป๊ะ บทความนี้หมอจะพาเจาะลึกทุกคำถามที่คุณอยากรู้ ตั้งแต่ฉีดกี่ครั้งถึงผิวใส ไปจนถึง ฉีดสูตรไหนดีให้คุ้มสุด พร้อมเทคนิคเลือกคลินิกไม่ให้โดนหลอก แชร์ครบทุกมุมแบบเข้าใจง่าย สไตล์ไม่วิชาการจ๋าแต่ได้ความรู้เต็มเปี่ยม ถ้าอยากผิวเด้งไวแบบ safe & slay บทความนี้ห้ามพลาด

การฉีดวิตามินผิว คืออะไร?

การฉีดวิตามินผิวคือการนำวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อผิว เช่น Vitamin C, B Complex, Glutathione หรือ Amino Acid เข้าสู่ร่างกายผ่านทางหลอดเลือดโดยตรง (Intravenous Infusion) เพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้เต็มที่แบบไม่ผ่านระบบย่อยอาหาร ผลลัพธ์ที่ได้คือการบำรุงผิวจากภายใน ช่วยให้ผิวกระจ่างใส ลดความหมองคล้ำ เติมความชุ่มชื้น และในบางสูตรยังช่วยเสริมภูมิคุ้มกันอีกด้วย

ข้อดีคือร่างกายได้รับสารอาหารแบบรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงกว่าการทานอาหารเสริม เหมาะกับคนที่พักผ่อนน้อย เจอฝุ่น มลภาวะ หรือมีภาวะผิวแห้ง ผิวโทรมง่าย บอกเลยว่าการฉีดวิตามินผิวไม่ใช่แค่เรื่องผิวสวย แต่เป็นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมที่ใครก็เริ่มต้นได้ครับ

ผิวแห้ง ผิวหมองคล้ำเกิดจากอะไร ?

ผิวแห้งและหมองคล้ำไม่ได้เกิดจากแค่แสงแดดหรือการนอนน้อยอย่างเดียวนะครับ จริง ๆ แล้วมันสะท้อนถึงการขาดสมดุลของร่างกาย ทั้งในเรื่องของ น้ำ, วิตามิน, แร่ธาตุ และ ความชื้นในผิวหนัง ซึ่งมักเกิดจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น ดื่มน้ำน้อย พักผ่อนไม่เพียงพอ รับประทานอาหารที่ขาดสารต้านอนุมูลอิสระ หรือแม้แต่การเผชิญกับมลภาวะและความเครียดสะสมก็มีผล

ในเชิงการแพทย์ ผิวแห้งมักสัมพันธ์กับการลดลงของ ceramide และ natural moisturizing factor (NMF) ในชั้นผิว ส่วนผิวหมองคล้ำอาจเกิดจากการสะสมของ melanin มากเกินไป หรือ oxidative stress ที่ทำให้เซลล์ผิวอ่อนแอ ดังนั้นการดูแลจากภายในด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระจึงเป็นทางเลือกที่ควรเริ่มให้ไวเลยครับ

ฉีดวิตามินผิวช่วยอะไรได้บ้าง?

การฉีดวิตามินผิวไม่ใช่แค่เรื่องของ “ผิวขาวใส” อย่างเดียวครับ แต่จริง ๆ แล้วมันช่วยดูแลสุขภาพผิวในหลายมิติ โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาผิวจากภายใน มาดูกันว่าช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง:

  • เพิ่มความชุ่มชื้น วิตามิน B5, กรดอะมิโน และสารต้านอนุมูลอิสระช่วยฟื้นฟูผิวที่แห้ง ขาดน้ำ
  • ปรับผิวให้กระจ่างใส วิตามิน C, กลูต้าไธโอน และ NAC ช่วยลดเม็ดสีเมลานิน ทำให้ผิวดูไบรท์ขึ้น
  • ลดอาการอ่อนล้าและภูมิคุ้มกันต่ำ กลุ่มวิตามิน B ช่วยเสริมการทำงานของระบบประสาทและภูมิคุ้มกัน
  • ลดสิวและการอักเสบผิว วิตามิน B-complex และ Zinc มีบทบาทลดการอักเสบในผิว
  • ช่วยให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้น เหมาะกับคนที่พักผ่อนน้อยหรือเพิ่งฟื้นจากอาการเจ็บป่วย

ฉีดวิตามินผิวผิวช่วยเรื่องผิวใสหรือแค่ชั่วคราว?

หลายคนสงสัยว่า ดริปวิตามินช่วยให้ผิวใสจริงไหม หรือเป็นแค่ผลลัพธ์ระยะสั้น? คำตอบคือ ทั้งใช่และไม่ใช่ ครับ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สูตรที่ใช้ ความถี่ในการดริป และการดูแลผิวร่วมด้วย วิตามินบางชนิด เช่น วิตามิน C กลูต้าไธโอน และ NAC มีคุณสมบัติลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้ผิวดูสว่าง กระจ่างใสขึ้น แต่ผลลัพธ์จะอยู่ได้ไม่นานหากไม่ดริปอย่างสม่ำเสมอ หรือยังมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น นอนดึก ดื่มแอลกอฮอล์ หรือไม่ทาครีมกันแดด หากต้องการผลลัพธ์ที่ ไม่แค่ผิวใส แต่ใสแบบยั่งยืน ควรดริปอย่างต่อเนื่องร่วมกับการปรับพฤติกรรมชีวิตครับ เพราะวิตามินที่ให้ผ่านการดริปจะถูกใช้ทันทีในระบบเลือด ไม่ได้สะสมไว้ระยะยาวเหมือนอาหารเสริมบางชนิด

ฉีดวิตามินผิวช่วยเสริมภูมิคุ้มกันได้จริงไหม?

คำตอบคือได้จริงครับ แต่ต้องขึ้นอยู่กับส่วนผสมของสูตรที่ใช้ด้วย โดยเฉพาะวิตามิน C, Zinc และกลุ่มวิตามิน B ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง การให้ทางหลอดเลือด (IV Drip) ทำให้ร่างกายดูดซึมได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านระบบย่อย จึงออกฤทธิ์เร็วกว่าแบบรับประทาน วิตามิน C เป็นตัวช่วยหลักในการกระตุ้นเม็ดเลือดขาว ส่วน Zinc เสริมการทำงานของภูมิคุ้มกันเชิงลึก และ B Complex ช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับความเครียดที่ทำให้ภูมิคุ้มกันตกได้ดีขึ้น แต่อย่าลืมว่าวิตามินเป็นเพียงตัวช่วย ไม่ใช่ยารักษาโรค การพักผ่อนให้เพียงพอ และอาหารที่ดี ยังเป็นพื้นฐานของภูมิคุ้มกันที่แท้จริงครับ

ฉีดวิตามินผิวอันตรายไหม?

โดยทั่วไปการฉีดวิตามินผิวไม่อันตราย ถ้าทำในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย มี อย. และอยู่ในการดูแลของแพทย์ แต่ความเสี่ยงจะเกิดขึ้นเมื่อฉีดแบบไม่รู้แหล่งที่มา หรือไปทำในคลินิกเถื่อนที่ใช้วิตามินไม่มีคุณภาพ ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ เช่น ผื่นแพ้ บวมแดงบริเวณฉีด หรือในบางรายอาจเกิดภาวะแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ซึ่งแม้จะพบได้น้อยแต่ก็ต้องระวัง โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติแพ้ยาหรือวิตามินบางกลุ่ม ดังนั้น ก่อนฉีดควรได้รับการประเมินสุขภาพ และเลือกสูตรที่เหมาะกับร่างกายคุณจริงๆ ครับ

มีผลข้างเคียงอะไรที่ควรรู้บ้าง?

การฉีดวิตามินผิวโดยทั่วไปปลอดภัย แต่ก็มี “ผลข้างเคียงที่ควรรู้” เพื่อเตรียมตัวอย่างเข้าใจ โดยผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยคือ รอยแดง บวมเล็กน้อยตรงจุดฉีด หรือรู้สึกคันเล็กน้อยหลังทำ ซึ่งมักหายไปเองภายใน 1-2 วันแต่ในบางกรณี โดยเฉพาะผู้ที่แพ้วิตามินบางชนิด อาจมีอาการผื่นลมพิษ คลื่นไส้ หรือเวียนศีรษะ และหากรุนแรงอาจเกิดภาวะ Anaphylaxis ซึ่งเป็นอาการแพ้รุนแรงที่ต้องได้รับการรักษาทันที ดังนั้นก่อนฉีด ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งประวัติแพ้ยา และเลือกสถานพยาบาลที่มีระบบดูแลกรณีฉุกเฉินอย่างปลอดภัยครับ

ควรฉีดบ่อยแค่ไหนถึงไม่เสี่ยง?

การฉีดวิตามินผิวไม่จำเป็นต้องฉีดถี่จนเกินไป เพราะร่างกายมีขีดจำกัดในการดูดซึมและใช้ประโยชน์ การฉีดบ่อยเกินความจำเป็น อาจเพิ่มภาระการทำงานให้กับตับและไตโดยไม่รู้ตัว โดยทั่วไป แนะนำให้ฉีด 1 ครั้งต่อสัปดาห์ในช่วงเริ่มต้น และเมื่อผิวเริ่มฟื้นตัวแล้ว สามารถลดความถี่ลงเหลือ 2–4 ครั้งต่อเดือน ขึ้นอยู่กับสูตรที่ใช้ และการตอบสนองของแต่ละบุคคล อย่าลืมว่าการดูแลจากภายใน เช่น การนอนหลับดี ดื่มน้ำเพียงพอ และกินอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ยังสำคัญไม่แพ้การฉีดเลยครับ

ต้องฉีดกี่ครั้งถึงจะเริ่มเห็นผล?

การฉีดวิตามินผิวจะเห็นผลชัดเจนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งสุขภาพพื้นฐาน สภาพผิวเดิม และสูตรที่ใช้ โดยทั่วไปผู้ที่เริ่มฉีดวิตามินผิวจะเริ่มรู้สึกได้ว่าผิวชุ่มชื้นขึ้น กระจ่างใสขึ้นเล็กน้อยหลังครั้งที่ 2–3 แต่ถ้าต้องการเห็นผลแบบต่อเนื่อง แนะนำให้ฉีดสัปดาห์ละ 1 ครั้งต่อเนื่อง 4–6 สัปดาห์ วิตามินบางสูตร เช่น Vitamin C, B Complex หรือกลูต้าไธโอน มีฤทธิ์ชั่วคราว ควรฉีดสม่ำเสมอและดูแลผิวร่วมด้วย เช่น ทาครีมกันแดดและพักผ่อนเพียงพอ เพื่อให้ผลลัพธ์คงอยู่และปลอดภัยในระยะยาวครับ

ฉีดครั้งเดียวพอไหม หรือควรทำต่อเนื่อง?

การฉีดวิตามินผิวเพียงครั้งเดียวอาจช่วยเติมความชุ่มชื้นหรือความสดใสได้เล็กน้อยในระยะสั้น แต่ถ้าเป้าหมายคือผิวกระจ่างใส ฟื้นฟูลึก หรือเสริมภูมิคุ้มกันอย่างเห็นผล แนะนำให้ทำอย่างต่อเนื่องสัปดาห์ละครั้งอย่างน้อย 4–6 ครั้ง เพื่อให้ร่างกายสะสมวิตามินในระดับที่เหมาะสม วิตามินบางตัว เช่น วิตามินซี หรือกลูต้าไธโอน มีครึ่งชีวิตสั้นในร่างกาย จึงต้องมีการเติมสม่ำเสมอเพื่อรักษาผลลัพธ์ และเพื่อให้ผิวใสอยู่ยาว ไม่ใช่แค่วูบวาบ ชั่วคราวครับ

ฉีดวิตามินผิวเหมาะกับใครบ้าง?

การฉีดวิตามินผิวเหมาะกับคนที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิวให้ดูใสขึ้นจากภายใน โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ ผิวแห้งขาดน้ำ นอนดึก พักผ่อนน้อย หรือเผชิญมลภาวะบ่อย ๆ จนผิวดูอ่อนล้า รวมถึงคนที่มีภาวะขาดวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินซี หรือ B-complex ซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันและการผลัดเซลล์ผิว ผู้ที่ต้องการ boost ผิวก่อนออกงาน หรือต้องการความสดชื่นจากภายในก็สามารถฉีดได้เช่นกัน แต่ไม่แนะนำสำหรับผู้มีโรคตับ ไต หรือภูมิคุ้มกันบกพร่องโดยไม่ได้รับการประเมินจากแพทย์ก่อนครับ

คนที่มีปัญหาผิวแบบไหนควรเริ่มฉีด?

สำหรับคนที่เริ่มรู้สึกว่าผิวหน้าหรือผิวกายดูโทรม หมองคล้ำ ไม่มีออร่า แม้จะพักผ่อนเพียงพอก็ยังดูไม่สดใส นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าร่างกายคุณขาดวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินซี กลูตาไธโอน หรือกลุ่มวิตามินบี ซึ่งส่งผลต่อกระบวนการฟื้นฟูผิวโดยตรง คนที่มีผิวแห้งง่าย แต่งหน้าไม่ติด ผิวลอกเป็นขุย หรือมีปัญหาจากแสงแดดและมลภาวะ ก็เป็นกลุ่มที่ตอบสนองต่อการฉีดวิตามินได้ดี โดยเฉพาะสูตรที่มีสารต้านอนุมูลอิสระร่วมด้วย ในผู้ที่มีสิวผด สิวอักเสบเรื้อรัง ก็สามารถใช้สูตรเสริมภูมิคุ้มกันร่วมกับกลูต้าเบา ๆ เพื่อช่วยลดอาการอักเสบของผิวได้อีกด้วยครับ

ผู้ชายฉีดได้ไหม? เหมาะกับวัยไหน?

คำตอบคือได้แน่นอนครับ เพราะการฉีดวิตามินผิวไม่ใช่เรื่องเฉพาะของผู้หญิงเท่านั้น ผู้ชายที่มีปัญหาผิวคล้ำแดด ผิวหมองจากการนอนดึก สูบบุหรี่ หรือทำงานหนักกลางแจ้ง ก็สามารถเติมสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อฟื้นฟูผิวให้ดูสดใสขึ้นได้เช่นกัน วัยที่เหมาะสมในการเริ่มฉีดคือช่วงอายุ 20 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นวัยที่ระบบภูมิคุ้มกันเริ่มเปลี่ยนแปลง และร่างกายเผชิญกับความเครียดจากไลฟ์สไตล์มากขึ้น หากใครเริ่มรู้สึกว่าหน้าหมอง โทรมง่าย ผิวดูไม่เรียบเนียนเหมือนเดิม การฉีดวิตามินถือเป็นตัวช่วยที่ดีในการรีเฟรชผิวอย่างปลอดภัย และช่วยเสริมสุขภาพผิวจากภายในครับ

ฉีดวิตามินผิวควรเตรียมตัวยังไงก่อนทำ ?

ก่อนจะฉีดวิตามินผิวให้ปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดี ควรเตรียมตัวตามนี้ครับ

  1. พักผ่อนให้เพียงพอ ร่างกายที่นอนหลับไม่พอจะตอบสนองต่อสารอาหารได้น้อยลง และอาจมีอาการวิงเวียนหลังฉีดได้ง่าย
  2. ดื่มน้ำให้มากขึ้น 1-2 วันก่อนฉีด การดื่มน้ำเพียงพอช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว ทำให้การเจาะเส้นง่ายและลดโอกาสเกิดรอยช้ำ
  3. งดแอลกอฮอล์และคาเฟอีน อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนฉีด เพราะอาจทำให้เส้นเลือดหดตัวหรือร่างกายขาดน้ำ
  4. งดยาบางชนิดที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน หรือวิตามินอี (ควรแจ้งแพทย์ก่อน)
  5. แจ้งแพทย์หากมีโรคประจำตัวหรือแพ้ยา เพื่อเลือกสูตรที่เหมาะสมและปลอดภัย

ต้องงดอะไรล่วงหน้าบ้าง?

ก่อนฉีดวิตามินผิว เพื่อให้ร่างกายตอบสนองได้ดีและลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียง ควรงดสิ่งเหล่านี้ล่วงหน้าอย่างน้อย 24 – 48 ชั่วโมง

  1. แอลกอฮอล์ ส่งผลให้ร่างกายขาดน้ำ และอาจเพิ่มความเสี่ยงของอาการเวียนศีรษะหรือหน้ามืดหลังฉีด
  2. คาเฟอีน เช่น กาแฟหรือชาเข้ม เพราะคาเฟอีนมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ อาจทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ
  3. อาหารเสริมวิตามินอี, น้ำมันปลา หรือแอสไพริน เพราะมีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เพิ่มโอกาสเกิดรอยช้ำหรือเลือดออกบริเวณที่ฉีด
  4. การออกกำลังกายหนัก ควรหลีกเลี่ยงก่อนและหลังฉีด 24 ชม. เพื่อไม่ให้ร่างกายเกิดความเครียดหรือล้าเกินไป
  5. งดสูบบุหรี่ นิโคตินมีผลต่อการไหลเวียนเลือด อาจลดประสิทธิภาพของสารอาหารที่ฉีดเข้าไป

ต้องตรวจเลือดหรือสุขภาพก่อนฉีดไหม?

โดยทั่วไปแล้ว การฉีดวิตามินผิวในผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงอาจไม่จำเป็นต้องตรวจเลือดล่วงหน้า แต่หากคุณมีโรคประจำตัว เช่น ไตทำงานผิดปกติ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือโรคตับเรื้อรัง แนะนำให้ตรวจเลือดก่อนฉีด เพื่อดูค่าการทำงานของตับ (LFTs) ไต (BUN, Creatinine) และระดับเกลือแร่ในร่างกาย โดยเฉพาะถ้าจะฉีดสูตรที่มีส่วนผสมเข้มข้นหรือหลายชนิดร่วมกัน การเช็กสุขภาพล่วงหน้าเป็นการลดความเสี่ยงและช่วยให้แพทย์เลือกสูตรที่เหมาะกับคุณมากที่สุด ปลอดภัยกว่าและเห็นผลดีกว่าครับ

หลังฉีดวิตามินผิวต้องดูแลอะไรบ้าง?

หลังฉีดวิตามินผิวเสร็จแล้ว การดูแลตัวเองมีส่วนสำคัญต่อผลลัพธ์ที่ได้ และช่วยลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงต่างๆ ดังนี้ครับ

  1. หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัดภายใน 24-48 ชั่วโมงแรก เพื่อป้องกันการกระตุ้นอนุมูลอิสระที่อาจลดประสิทธิภาพของวิตามิน
  2. งดดื่มแอลกอฮอล์ 1-3 วัน เพราะแอลกอฮอล์อาจรบกวนการทำงานของตับในการดูดซึมและขับวิตามิน
  3. ดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อย 2 ลิตรต่อวัน ช่วยให้ร่างกายขับสารตกค้างและดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น
  4. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักในวันแรก ลดการไหลเวียนโลหิตที่เร็วเกินไป เพื่อให้วิตามินซึมช้าและต่อเนื่อง
  5. หากมีอาการแพ้หรือไม่สบาย ให้รีบพบแพทย์ทันที แม้อาการจะพบได้น้อย แต่การสังเกตตัวเองก็ยังเป็นสิ่งสำคัญครับ

ฉีดวิตามินผิวที่ไหนดี? เลือกคลินิกยังไงให้ปลอดภัย

การฉีดวิตามินผิวให้ได้ผลดีและไม่เสี่ยง ต้องเริ่มจากการเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ซึ่งสิ่งที่ควรพิจารณา มีดังนี้ครับ

  1. มีใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลถูกต้องตามกฎหมาย คลินิกต้องขึ้นทะเบียนกับกระทรวงสาธารณสุข
  2. มีแพทย์ดูแลจริงในทุกขั้นตอน หลีกเลี่ยงคลินิกที่ไม่มีแพทย์ onsite หรือใช้บุคลากรไม่ใช่แพทย์ในการฉีด
  3. ใช้วิตามินที่มีเลขทะเบียน อย. ชัดเจน ขอดูขวดจริงก่อนฉีดได้ และควรมีฉลากแสดงส่วนผสมชัดเจน
  4. เปิดขวดใหม่ต่อหน้า ไม่มีการปั่นหรือแบ่งขวด เพื่อป้องกันการปนเปื้อนและเชื้อจุลชีพ
  5. รีวิวจากผู้ใช้จริงหรือคนไข้เก่าที่น่าเชื่อถือ ดูได้ทั้งจากแพลตฟอร์มออนไลน์ หรือสอบถามจากคนรู้จัก

ฉีดวิตามินผิว VS IV Drip ต่างกันยังไง? ควรเลือกแบบไหนดี?

หลายคนอาจคิดว่าการฉีดวิตามินผิวกับ IV Drip คือเรื่องเดียวกัน แต่จริงๆ แล้วมีความต่างเล็กๆ ที่ส่งผลกับผลลัพธ์และความเหมาะสมครับ

  • ฉีดวิตามินผิว (Injection) คือการฉีดวิตามินเข้าร่างกายแบบปริมาณน้อย จุดเดียว เช่น ฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือเส้นเลือด เหมาะกับผู้ที่ต้องการบูสต์แบบเร่งด่วน หรือฟื้นฟูเฉพาะจุด เช่น ผิวแห้งโทรม
  • IV Drip (ดริปวิตามิน) เป็นการให้วิตามินผ่านสายน้ำเกลือ ใช้เวลาประมาณ 30-45 นาทีต่อครั้ง ได้สารอาหารในปริมาณมากกว่า และสามารถผสมวิตามินหลายชนิดในสูตรเดียว เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์แบบต่อเนื่อง เช่น ผิวกระจ่างใส เสริมภูมิคุ้มกัน หรือดีท็อกซ์ร่างกาย
  • เลือกแบบไหนดี? ขึ้นอยู่กับงบ เวลา และเป้าหมาย ถ้าอยากฟื้นฟูเร่งด่วนฉีดก็พอ แต่ถ้าหวังผลระยะยาว IV Drip จะตอบโจทย์มากกว่าครับ

ถ้าอยากเข้าใจลึกขึ้นว่า IV Drip คืออะไร มีสูตรแบบไหนบ้าง และช่วยฟื้นฟูผิวกับร่างกายได้จริงอย่างไร แนะนำให้ไปอ่านต่อที่ IV Drip ของ TBL Clinic เพื่อเลือกให้เหมาะกับความต้องการของคุณครับ


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

Call Center : 095-291-6565
Facebook : TBL Clinic-ทู บีเลิฟ คลินิก
e-mail : [email protected]
LINE : @tblclinic

ปุ่ม Addline