ใต้ตาคล้ำ ดูโทรมเหมือนนอนน้อย ทั้งที่จริงนอนครบ 8 ชั่วโมงแล้ว เชื่อว่าหลายคนคงเคยเจอปัญหานี้ครับ จริงๆ แล้วฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่หมอใช้ช่วยฟื้นฟูใต้ตาให้ดูสดใสขึ้นได้แบบไม่ต้องผ่าตัด เพราะสาร Hyaluronic Acid (HA) จะช่วยเติมเต็มร่องลึก ทำให้ผิวบริเวณใต้ตาดูอิ่มฟูขึ้น ลดความหมองและเงาที่เกิดจากแสงสะท้อน ซึ่งเป็นต้นเหตุของใต้ตาคล้ำ ที่หลายคนกังวล
แต่ก่อนจะตัดสินใจฉีด หมออยากให้เข้าใจทั้งเรื่อง ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เหมาะกับใต้ตา ช่วงราคา และ ความปลอดภัยเพราะไม่ใช่ทุกฟิลเลอร์จะเหมาะกับทุกคน การเลือกยี่ห้อและเทคนิคที่ถูกต้องคือหัวใจสำคัญของผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและปลอดภัยครับเพราะบางครั้ง… การดูสดใสขึ้น ไม่จำเป็นต้องพักผ่อนเพิ่ม แค่เลือกฉีดให้ถูกที่ ถูกมือ ก็เปลี่ยนลุคให้ดูสดชื่นเหมือนนอนเต็มอิ่มทุกวันได้เลยครับ
ฟิลเลอร์ใต้ตา คืออะไร ?
ฟิลเลอร์ใต้ตา คือการฉีดสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid (HA) เข้าไปบริเวณใต้ตา เพื่อช่วยแก้ปัญหาร่องลึก ใต้ตาคล้ำ และผิวดูโทรมจากการพักผ่อนน้อยหรือคอลลาเจนเสื่อมตามวัยครับ สาร HA เป็นองค์ประกอบที่ร่างกายเรามีอยู่แล้ว จึงมีความเข้ากันได้สูงและสามารถสลายเองได้ตามธรรมชาติ
เทคนิคนี้ไม่ได้แค่เติมเต็มให้ร่องลึกตื้นขึ้น แต่ยังช่วยให้ผิวดูอิ่มน้ำ เงานุ่ม และสดใสขึ้นเหมือนนอนครบ 8 ชั่วโมงทุกวัน หมอจะเลือกชนิดของฟิลเลอร์ที่มีเนื้อเนียนละเอียดและกระจายตัวดี เพื่อให้ผลลัพธ์ดูเรียบเนียนไม่โป่งหรือเป็นก้อน ในยุคนี้ฟิลเลอร์ใต้ตาถือเป็นตัวช่วยยอดฮิตของสาย work hard – play harder ที่อยากดูสดใสตลอดวัน โดยไม่ต้องพึ่งคอนซีลเลอร์หนาๆ ทุกเช้าเลยครับ
ทำไมถึงต้อง ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ?
ผิวบริเวณใต้ตาเป็นส่วนที่บอบบางและมีแนวโน้มเกิดการเปลี่ยนแปลงตามวัย เช่น การสูญเสียเนื้อเยื่อและคอลลาเจน การยุบตัวของผิวหนังใต้ตา และการเกิดร่องลึก ส่งผลให้ใบหน้าดูอ่อนล้าและมีอายุเพิ่มขึ้น การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจึงมีบทบาทในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ โดยช่วยทดแทนเนื้อเยื่อและคอลลาเจนที่สลายไป ทำให้ร่องลึกใต้ตาดูตื้นขึ้น เติมเต็มบริเวณที่ยุบตัวให้กลับมาเต่งตึงและสดใสอีกครั้ง
นอกจากนี้ การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตายังสามารถช่วยแก้ปัญหาอื่น ๆ เช่น ลดความหมองคล้ำใต้ตา ช่วยปรับสมดุลของใบหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ และเสริมความมั่นใจให้กับผู้ที่กังวลเกี่ยวกับปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตานอกจากจะต้องคำนึงถึงการเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมแล้ว ยังต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ผลลัพธ์เป็นไปตามความคาดหวังและปลอดภัยสูงสุด
ปัญหาใต้ตา เกิดจากสาเหตุใด ?
ปัญหาใต้ตาเป็นหนึ่งในปัญหาด้านความงามและสุขภาพที่พบบ่อยในทุกเพศและทุกวัย สาเหตุของปัญหาใต้ตานั้นมีหลากหลายและสามารถแบ่งออกได้เป็นปัจจัยทางกายภาพและพฤติกรรมการใช้ชีวิต ดังนี้
- ความผิดปกติของระบบการไหลเวียนโลหิตและน้ำเหลือง
- ระบบการไหลเวียนโลหิตและน้ำเหลืองที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้ไขมันและของเหลวสะสมบริเวณผิวหนังใต้ตา ส่งผลให้เกิดอาการบวม หรือนูน
- โครงสร้างผิวหนังบริเวณใต้ตา
- ผิวหนังใต้ตามีความบางและไวต่อการเปลี่ยนแปลง ทำให้การสะสมของของเหลวและไขมันเด่นชัดมากขึ้น
- พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน
- การขยี้ตา หรือการร้องไห้บ่อยครั้ง
- การพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือการใช้สายตาอย่างหนัก
- การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
- การรับประทานอาหารรสเค็มจัด ทำให้เกิดการกักเก็บของเหลวในร่างกาย
- ปัญหาจากการแพ้สารหรือสิ่งแวดล้อม
- การแพ้สารบางชนิด เช่น ฝุ่นละอองหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
- การอักเสบหรือติดเชื้อในบริเวณใต้ตา
วิธีแก้ไขปัญหาใต้ตาคล้ำ ถุงใต้ตา ริ้วรอย
ปัญหาใต้ตาคล้ำ ถุงใต้ตา และริ้วรอยรอบดวงตา สามารถแก้ไขได้ด้วยหลากหลายวิธี ทั้งการดูแลตนเองและการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ดังนี้
- หาสาเหตุที่แท้จริง การวินิจฉัยสาเหตุ เช่น ความเครียด การนอนหลับไม่เพียงพอ หรือโรคภูมิแพ้ ช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด
- พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวันช่วยลดความหมองคล้ำใต้ตาและเพิ่มความสดใสให้ใบหน้า
- ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ารฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นวิธีที่ช่วยเติมเต็มเนื้อเยื่อที่ยุบตัว ทำให้ร่องลึกใต้ตาดูตื้นขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดถุงใต้ตาและทำให้ดวงตาดูสดใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
- ฉีดเมโสลดใต้ตาดำ การฉีดเมโสช่วยลดเม็ดสีส่วนเกินบริเวณใต้ตาและเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
- ใช้อายครีมช่วยฟื้นบำรุง การใช้อายครีมที่มีส่วนผสมของวิตามิน C หรือเปปไทด์ช่วยฟื้นฟูผิวและลดเลือนริ้วรอย
- แต่งหน้าและประคบเย็น ใช้คอนซีลเลอร์แต่งหน้าปกปิดรอยคล้ำใต้ตา หรือประคบเย็นช่วยลดอาการบวม
- นวดกระตุ้นการไหลเวียน การนวดเบา ๆ รอบดวงตาช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและลดการสะสมของของเหลว
- พอกสมุนไพรธรรมชาติ การใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ เช่น แตงกวา หรือชาเขียว สามารถลดรอยคล้ำใต้ตาได้อย่างอ่อนโยน
ฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยอะไรบ้าง ?
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นวิธีการทางการแพทย์ที่ได้รับความนิยม เนื่องจากสามารถแก้ปัญหาหลากหลายด้านเกี่ยวกับความงามและโครงสร้างใต้ตาอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
- แก้ปัญหาร่องลึกใต้ตา
- ฟิลเลอร์ช่วยเติมเต็มเนื้อเยื่อในบริเวณฐานกระดูกใต้ตาและทดแทนไขมันที่สูญเสียไปตามวัย ส่งผลให้ร่องน้ำตาและร่องลึกใต้ตาดูตื้นขึ้น ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และสดใสมากยิ่งขึ้น
- ลดความคล้ำใต้ตา
- การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยยกชั้นผิวให้ห่างจากหลอดเลือดใต้ผิวหนัง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของความหมองคล้ำใต้ตา ช่วยปรับสีผิวบริเวณใต้ตาให้สว่างใสและมีสุขภาพดี
- แก้ปัญหาตาลึกโหล
- สำหรับผู้ที่มีปัญหาตาลึกโหล การฉีดฟิลเลอร์สามารถช่วยเติมเต็มพื้นที่บริเวณใต้ตาและด้านบนตาเพื่อคืนความสมดุลของโครงสร้างใบหน้า
- ลดริ้วรอยและความหย่อนคล้อย
- ฟิลเลอร์ช่วยคืนความเต่งตึงให้กับผิวใต้ตาที่เหี่ยวย่นและยุบตัว ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ลดเลือนริ้วรอยที่เกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนและไขมัน
- ลดถุงใต้ตา
- การเติมฟิลเลอร์ช่วยปรับสมดุลของเนื้อเยื่อใต้ตา ทำให้ถุงใต้ตาดูเล็กลงและช่วยเสริมความกระชับให้แก่ผิว
วิธีการทำงานของฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์ที่ใช้สำหรับใต้ตาส่วนใหญ่ประกอบด้วยสารไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) ซึ่งสามารถจับกับน้ำในชั้นผิวได้ดี ช่วยให้ผิวดูชุ่มชื้น เต่งตึง และเป็นธรรมชาติ เพระาในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาไม่เพียงช่วยเสริมความงาม แต่ยังช่วยคืนความมั่นใจให้กับผู้ที่มีปัญหาใต้ตาอย่างแท้จริง
ถุงใต้ตาแบบไหนไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ?
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นวิธีการยอดนิยมในการแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยและริ้วรอยใต้ตา อย่างไรก็ตาม มีลักษณะของถุงใต้ตาบางประเภทที่ไม่เหมาะสมสำหรับการฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งได้แก่
- ถุงใต้ตาที่มีลักษณะบวมจากไขมันส่วนเกินมาก
- ในกรณีที่มีการสะสมของไขมันใต้ตามากเกินไป การฉีดฟิลเลอร์อาจทำให้บริเวณใต้ตาดูบวมมากขึ้น และอาจไม่สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด ในกรณีนี้ การผ่าตัดกำจัดถุงใต้ตาอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า
- ถุงใต้ตาที่เกิดจากการคั่งของน้ำเหลือง
- หากถุงใต้ตาเกิดจากความผิดปกติของระบบน้ำเหลือง การฉีดฟิลเลอร์อาจไม่ช่วยแก้ปัญหา เนื่องจากต้นเหตุเป็นปัญหาภายในระบบการไหลเวียน
- ผู้ที่มีปัญหาใต้ตาจากอาการแพ้หรืออักเสบ
- หากใต้ตาบวมแดงหรืออักเสบจากอาการแพ้หรือการติดเชื้อ ควรหลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์จนกว่าปัญหาจะได้รับการรักษา
- ถุงใต้ตาในผู้ที่มีโครงสร้างกระดูกไม่สมดุล
- หากโครงสร้างกระดูกบริเวณเบ้าตาไม่สมดุล เช่น เบ้าตาตื้น การฉีดฟิลเลอร์อาจไม่ให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ
ฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะแก่ใคร ?
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นวิธีการแก้ปัญหายอดนิยมในด้านความงามและการปรับโครงหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด เหมาะสำหรับผู้ที่มีลักษณะปัญหาดังต่อไปนี้
- ปัญหาริ้วรอยและความหย่อนคล้อยใต้ตา ผู้ที่มีร่องลึกหรือริ้วรอยที่เห็นได้ชัด การฉีดฟิลเลอร์ช่วยเติมเต็มชั้นผิวหนังใต้ตาให้ดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์
- ถุงใต้ตาและขอบตาดำ สำหรับผู้ที่มีถุงใต้ตาหรือน้ำเหลืองคั่งที่ทำให้เกิดขอบตาดำ ฟิลเลอร์สามารถยกผิวและช่วยลดการมองเห็นความคล้ำได้
- ตาลึกและตาโหล ผู้ที่มีลักษณะเบ้าตาลึกหรือตาโหล ฟิลเลอร์จะช่วยเติมฐานกระดูกและทดแทนไขมันที่สูญเสียไป
- ไม่อยากเจ็บตัวหรือผ่าตัด หมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาโดยไม่ต้องเสี่ยงการผ่าตัดหรือพักฟื้นยาวนาน
- ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและเห็นผลทันที การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาใช้เวลาเพียงไม่นานและสามารถเห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำ
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา อันตรายไหม ?
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาไม่อันตรายครับ ถ้าทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์และใช้ ฟิลเลอร์แท้ที่มี อย. เพราะบริเวณใต้ตาเป็นจุดที่มีเส้นเลือดและเนื้อเยื่อบอบบาง ต้องอาศัยเทคนิคในการฉีดที่แม่นยำเพื่อหลีกเลี่ยงการบวม หรือเกิดรอยช้ำ โดยทั่วไปฟิลเลอร์ที่ใช้จะเป็นชนิด Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ หากเกิดปัญหายังสามารถฉีด Hyaluronidase ละลายออกได้ทันที สิ่งสำคัญคืออย่าเลือกฉีดกับร้านที่ไม่มีแพทย์หรือใช้ของไม่แท้ เพราะอาจเสี่ยงอุดตันเส้นเลือดหรือเกิดก้อนใต้ตาได้ การปรึกษาและวางแผนกับหมอก่อนฉีดทุกครั้งจะช่วยให้ผลลัพธ์ดูปลอดภัย เรียบเนียน และเป็นธรรมชาติแบบ soft look ที่คนรุ่นนี้ชอบครับ
วิธีลดความเสี่ยงในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- ตรวจสอบว่าฟิลเลอร์ที่ใช้เป็นของแท้จากผู้ผลิตที่ได้รับการรับรอง
- เลือกคลินิกที่มีชื่อเสียง มีใบอนุญาตประกอบกิจการถูกต้อง
- ฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในเทคนิคการฉีด
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา VS ฉีดไขมันใต้ตา เลือกแบบไหนดี ?
หลายคนที่มีปัญหาใต้ตาลึก หมอง หรือดูโทรม มักลังเลระหว่าง ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา กับ ฉีดไขมันใต้ตา ว่าวิธีไหนเหมาะกับตัวเองมากกว่า ทั้งสองเทคนิคมีเป้าหมายเดียวกันคือช่วยเติมเต็มร่องใต้ตาให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น แต่มีจุดต่างสำคัญในด้านวัสดุ ขั้นตอน และผลลัพธ์ที่ได้ หมอเลยสรุปให้เห็นภาพง่าย ๆ ในตารางนี้ครับ
| รายการเปรียบเทียบ | ฟิลเลอร์ใต้ตา (Hyaluronic Acid) | ฉีดไขมันใต้ตา (Fat Grafting) |
|---|---|---|
| วัสดุที่ใช้ | สาร Hyaluronic Acid (HA) ที่สังเคราะห์ขึ้นและปลอดภัยสูง | ไขมันของเราเอง ดูดจากต้นขาหรือหน้าท้อง |
| ความปลอดภัย | ปลอดภัยสูง สลายได้เองตามธรรมชาติ และสามารถฉีดสลายได้ | ปลอดภัย แต่ขึ้นอยู่กับคุณภาพไขมันและเทคนิคแพทย์ |
| ระยะเวลาพักฟื้น | ใช้ชีวิตได้ทันทีหลังทำ อาจมีรอยเข็มเล็กน้อย | ต้องพักฟื้น 3–7 วัน อาจมีรอยบวมจากการดูดไขมัน |
| ผลลัพธ์อยู่ได้นาน | 8–18 เดือน แล้วแต่ยี่ห้อและเทคนิค | อยู่ได้นานหลายปี หากไขมันติดดีประมาณ 50–70% |
| ความเหมาะสม | เหมาะกับผู้ที่ต้องการแก้ใต้ตาคล้ำหรือร่องตาตื้น ๆ | เหมาะกับผู้ที่มีร่องลึกมากหรืออยากปรับโครงหน้าร่วมด้วย |
| งบประมาณโดยประมาณ | 9,000 – 20,000 บาท (ต่อ 1 ซีซี) | 25,000 – 50,000 บาท (รวมดูดไขมัน) |
โดยรวมแล้ว ฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะกับคนที่ต้องการเห็นผลไว ไม่ต้องพักฟื้น และอยากปรับความสดใสแบบเป็นธรรมชาติ ส่วนฉีดไขมันจะเหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์ระยะยาวและมีปัญหาโครงหน้าลึกมาก หมอแนะนำให้ปรึกษาก่อนทุกครั้งเพื่อประเมินสภาพผิวและเลือกวิธีที่เหมาะกับคุณจริงๆ เพราะใต้ตาที่ดูดี ไม่ได้อยู่ที่ว่าเลือกวิธีไหน แต่เลือกอย่างเข้าใจ มากกว่าครับ
ฉีดดอลลี่อาย กับ ฟิลเลอร์ใต้ตา ต่างกันอย่างไร ?
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาและการฉีดดอลลี่อาย เป็นหัตถการที่แตกต่างกัน แม้จะอยู่ในบริเวณรอบดวงตาเหมือนกัน แต่มีจุดประสงค์และเทคนิคที่ต่างกัน
- ฟิลเลอร์ใต้ตา เน้นแก้ไข ร่องใต้ตาลึก ความหมองคล้ำ และ ความหย่อนคล้อย ซึ่งทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้า ฟิลเลอร์ช่วยเติมเต็มให้ร่องใต้ตาดูเรียบเนียน อิ่มฟู และสดใสขึ้น
- ดอลลี่อาย (Dolly Eye Filler) เป็นการฉีดฟิลเลอร์ที่ขอบตาล่าง ใกล้แนวขนตา เพื่อสร้างมิติให้มีถุงใต้ตาเล็กๆ คล้ายกับตาของตุ๊กตา ทำให้ดวงตาดูโตขึ้น และใบหน้าดูเด็กลง
ข้อแตกต่างหลัก
- จุดฉีด ฟิลเลอร์ใต้ตาฉีดลึกในชั้นผิวใต้ตา ส่วนดอลลี่อายฉีดบริเวณขอบตาล่าง
- เป้าหมาย ฟิลเลอร์ใต้ตาเน้นแก้ปัญหาร่องลึก ส่วนดอลลี่อายเน้นเสริมให้ดวงตาดูแบ๊วและสดใส
- ปริมาณที่ใช้ ฟิลเลอร์ใต้ตาใช้ 1-2 cc ขึ้นอยู่กับความลึกของร่อง ส่วนดอลลี่อายใช้เพียง 0.5-1 cc ต่อข้าง
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ยี่ห้อไหนดี ?
เวลาพูดถึง ฟิลเลอร์ใต้ตา หมอมักจะได้ยินคำถามว่า หมอครับ ใช้ยี่ห้อไหนดีถึงจะไม่เป็นก้อน ดูเนียน และอยู่ได้นาน คำตอบคือ ต้องเลือกฟิลเลอร์ที่มี คุณสมบัติเนื้อนุ่ม ละเอียด กระจายตัวดี และผ่าน อย.ไทยเท่านั้น เพราะใต้ตาเป็นบริเวณที่ผิวบางและเคลื่อนไหวเยอะ หมอเลยอยากแนะนำฟิลเลอร์ที่นิยมใช้จริงในคลินิก โดยเหมาะกับแต่ละเคสแตกต่างกันครับ
ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่หมอแนะนำสำหรับฉีดใต้ตา
-
Restylane Eyelight (สวีเดน) – รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อใต้ตาโดยเฉพาะ เนื้อนุ่ม ปรับแสงเงาใต้ตาให้ดูสดใสขึ้น ลดความคล้ำได้ชัด
-
Juvederm Volbella / Volite (อเมริกา) – เนื้อฟิลเลอร์ละเอียดมาก กระจายตัวดี เหมาะกับคนที่ต้องการความเป็นธรรมชาติสูงและผลลัพธ์ผิวเนียนแบบ glass-skin
-
Neuramis Deep (เกาหลี) – ตัวนี้เนียนละเอียดและราคาย่อมเยา เหมาะกับคนวัยทำงานที่ต้องการเติมร่องใต้ตาให้ดูตื่นสดใสแต่ยังเป็นลุคธรรมชาติ
-
E.P.T.Q S100 (เกาหลี) – ฟิลเลอร์เนื้อเนียน มีเทคโนโลยี 8 Point Cross-link ทำให้คงรูปได้ดี เหมาะกับผู้ที่มีร่องลึกแต่ไม่อยากให้โป่ง
-
Definisse Touch (อิตาลี) – จุดเด่นคือยกกระชับและเนื้อคงตัวดี เหมาะกับคนที่มีร่องใต้ตาชัดและผิวบาง
โดยทั่วไปหมอจะเลือกฟิลเลอร์ให้ตามสภาพผิว โครงหน้า และงบของแต่ละคน เช่น ถ้าอยากได้ลุคละมุนใสแบบเกาหลี Neuramis ก็เหมาะ แต่ถ้าต้องการความหรูหราและอยู่ทนนาน Restylane หรือ Juvederm จะตอบโจทย์กว่า ท้ายที่สุด ไม่ว่ายี่ห้อไหนจะดีที่สุดก็ต่อเมื่อฉีดถูกจุด ถูกชั้นผิว และใช้ฟิลเลอร์แท้ เพราะใต้ตาไม่ใช่แค่เรื่องความสวย แต่คือสมดุลของความมั่นใจและความปลอดภัยในระยะยาวครับ
หากคุณกำลังคิดจะ ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เพื่อคืนความสดใสให้ใบหน้า แต่ยังไม่แน่ใจว่ายี่ห้อไหนหรือปริมาณเท่าไหร่เหมาะกับคุณ หมอแนะนำให้เข้ามาปรึกษาฟรีก่อนครับ เพราะใต้ตาแต่ละคนมีโครงสร้างต่างกัน การวางแผนที่แม่นยำคือกุญแจสำคัญของผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและปลอดภัย
💬 ปรึกษาเพิ่มเติมได้ที่
LINE Official: @TBLCLINIC หรือ Inbox Facebook: TBL Clinic
เพราะผิวใต้ตาที่ดูสดใส ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ แต่อยู่ที่การดูแลด้วยวิธีที่เหมาะกับคุณครับ
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาใช้กี่ CC ถึงเห็นผล ?
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเพื่อแก้ปัญหาร่องลึก ถุงใต้ตา หรือใต้ตาคล้ำ โดยทั่วไปจะใช้ฟิลเลอร์ในปริมาณ 0.5-1 CC ต่อข้าง ขึ้นอยู่กับระดับความลึกของร่องและสภาพผิวของแต่ละบุคคล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะประเมินปัญหาและเลือกปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและสมดุล หากร่องลึกมาก อาจต้องการปริมาณฟิลเลอร์เพิ่มขึ้น การเลือกฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและตรงตามความต้องการ
ไขข้อสงสัยหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา กี่วันถึงเห็นผล อาการบวม เป็นก้อนเกิดจากอะไร ?
หลายๆ ท่านอาจจะมีความสงสัยว่าหลังจากที่เราฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาไปแล้ว กี่วันถึงเห็นผล ? อาการบวม เป็นก้อนเกิดจากอะไร ? แล้วทำให้ตาบอดจริงหรือไม่ ? วันนี้รวมข้อมูลแนะนำให้ท่านได้อ่านเพื่อคลายข้อสงสัยกันครับ
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา กี่วันเห็นผล ?
หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ส่วนใหญ่จะเห็นผลทันทีประมาณ 70–80% ครับ เพราะสาร Hyaluronic Acid (HA) จะเข้าไปเติมเต็มร่องลึกใต้ตาให้ดูอิ่มฟูขึ้นทันที แต่ผลลัพธ์จะชัดเจนที่สุดภายใน 7–14 วันหลังฉีด เมื่อฟิลเลอร์เซ็ตตัวเข้ากับชั้นผิวและอาการบวมจางลง ผิวบริเวณใต้ตาจะดูเรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนได้พักผ่อนเต็มอิ่ม ส่วนระยะเวลาการคงอยู่ของผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและเทคนิคการฉีด โดยเฉลี่ยอยู่ได้ประมาณ 8–18 เดือน หมอแนะนำให้กลับมาตรวจเช็กซ้ำหลังทำ 2 สัปดาห์เพื่อประเมินความสมดุลและปรับแต่งเล็กน้อยหากจำเป็นครับ
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา บวมกี่วัน ?
หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา อาจมีอาการบวมหรือรอยเข็มเล็กน้อยเป็นเรื่องปกติครับ โดยทั่วไปอาการบวมจะค่อย ๆ ลดลงภายใน 3–5 วัน และเข้าสู่สภาวะปกติเต็มที่ภายใน 1–2 สัปดาห์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิว เทคนิคการฉีด และการดูแลหลังทำของแต่ละคน หมอมักแนะนำให้ประคบเย็นเบาๆ ใน 24 ชั่วโมงแรก และหลีกเลี่ยงการนวดหรือกดบริเวณใต้ตา เพื่อให้ฟิลเลอร์เซ็ตตัวได้ดีขึ้น เมื่อผ่านช่วงบวมไปแล้ว ใต้ตาจะเริ่มดูเรียบเนียน สดใส และเป็นธรรมชาติขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนพักผ่อนเพียงพอตลอดสัปดาห์ครับ
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา บวมกี่วัน ?ฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นก้อน เกิดจากอะไร ? แก้ไขได้ไหม ?
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา อาจทำให้เกิดอาการบวมเล็กน้อยซึ่งโดยปกติจะลดลงภายใน 1-3 วัน และหายสนิทภายใน 7 วัน หากดูแลตามคำแนะนำแพทย์ เช่น ประคบเย็นและหลีกเลี่ยงการนวดบริเวณใต้ตา
ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน เกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น
- การใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะสม เช่น ชนิดของฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะกับบริเวณใต้ตา
- เทคนิคการฉีดที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ฟิลเลอร์กระจายตัวไม่สม่ำเสมอ
- ปฏิกิริยาของร่างกาย เช่น การกักเก็บน้ำในเนื้อเยื่อบริเวณฉีด
สามารถการแก้ไขได้ โดยการฉีดสารไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) เพื่อสลายฟิลเลอร์ในกรณีที่ใช้ฟิลเลอร์ชนิดไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) หรือปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินวิธีแก้ไขที่เหมาะสมตามปัญหาของแต่ละบุคคลด้วยนะครับ
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ทำให้ตาบอดจริงไหม ?
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา มีความเสี่ยงที่อาจทำให้ตาบอดได้หากฟิลเลอร์ถูกฉีดเข้าไปในหลอดเลือดและกระแสเลือดนำสารเข้าไปอุดตันในเส้นเลือดที่เชื่อมกับดวงตา อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ถือว่าเกิดขึ้นได้ยากมาก โดยเฉพาะในกรณีที่ทำการฉีดโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญสูง และปฏิบัติตามเทคนิคที่ถูกต้อง
การป้องกันความเสี่ยง ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ในคลินิกที่น่าเชื่อถือ ใช้ฟิลเลอร์ของแท้ที่ผ่านการรับรอง และเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการประเมินโครงสร้างใบหน้าและหลีกเลี่ยงจุดเสี่ยง นอกจากนี้ แพทย์จะต้องมีการตรวจสอบประวัติสุขภาพของคนไข้และใช้เทคนิคการฉีดอย่างระมัดระวังเพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน สรุปได้ว่าแม้ว่าความเสี่ยงของการตาบอดจากการฉีดฟิลเลอร์จะมี แต่สามารถลดโอกาสเกิดได้มากหากเลือกสถานที่และแพทย์ที่เหมาะสม
การปฏิบัติตัวก่อนและหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
การเตรียมตัวและดูแลตนเองทั้งก่อนและหลังการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของผลลัพธ์และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน ต่อไปนี้คือคำแนะนำที่ควรปฏิบัติ
การปฏิบัติตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- งดรับประทานยาและอาหารเสริมบางชนิด หลีกเลี่ยงยาที่ทำให้เลือดไหลเวียนง่าย เช่น แอสไพริน วิตามินอี น้ำมันปลา หรืออาหารเสริมอื่น ๆ ที่อาจเพิ่มโอกาสการเกิดรอยช้ำ ควรงดก่อนฉีดประมาณ 1 สัปดาห์
- พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับเพียงพอช่วยให้ระบบหมุนเวียนโลหิตทำงานได้ดีและลดความเสี่ยงของการเกิดรอยช้ำหรือบวม
- หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และบุหรี่ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ก่อนฉีดอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันผลกระทบต่อการฟื้นตัวของผิวหนัง
การปฏิบัติตัวหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- หลีกเลี่ยงความร้อนสูง งดการสัมผัสแสงแดดโดยตรง ซาวน่า หรือกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร้อนต่อผิวในบริเวณใต้ตาอย่างน้อย 48 ชั่วโมงหลังฉีด
- งดนวดหรือกดบริเวณที่ฉีด หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ เพื่อป้องกันการเคลื่อนตัวของฟิลเลอร์
- ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม หากมีอาการบวมเล็กน้อย ให้ใช้ผ้าสะอาดประคบเย็นบริเวณรอบดวงตา
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ น้ำช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นของผิวและส่งเสริมผลลัพธ์ของฟิลเลอร์
ข้อห้าม หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ควรรู้
การปฏิบัติตนหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ฟิลเลอร์เซ็ตตัวได้อย่างเหมาะสมและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ โดยมีข้อห้ามที่ควรระวังดังนี้
- หลีกเลี่ยงการกดหรือนวดบริเวณใต้ตา ห้ามสัมผัสหรือกดทับบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ในช่วง 48 ชั่วโมงแรก เพื่อป้องกันการเคลื่อนตัวของฟิลเลอร์และผลกระทบต่อผลลัพธ์
- งดการสัมผัสความร้อนสูง หลีกเลี่ยงการซาวน่า การอบไอน้ำ หรือการอยู่ในที่ที่มีอุณหภูมิสูงเกินไปอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพราะความร้อนอาจทำให้ฟิลเลอร์เสื่อมสภาพเร็วขึ้น
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เพิ่มการไหลเวียนโลหิต การออกกำลังกายหนัก การดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ควรงดในช่วง 24-48 ชั่วโมงหลังฉีด เพื่อป้องกันการเกิดรอยช้ำและบวม
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคือง งดการใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของกรด AHA, BHA หรือเรตินอลบริเวณใต้ตาในช่วง 3-5 วันแรก เพื่อป้องกันการระคายเคืองต่อผิว
อ่านบทความเพิ่มเติม : ฉีดฟิลเลอร์ ครั้งแรกควรรู้อะไรบ้าง
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ที่ TBL Clinic ดีอย่างไร ?
การเลือกสถานที่สำหรับฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและตรงตามความต้องการ TBL Clinic เป็นหนึ่งในคลินิกที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้รับบริการ ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
- ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาต้องอาศัยความละเอียดอ่อนและความชำนาญสูง ทีมแพทย์ของเราได้รับการอบรมเฉพาะทาง มีประสบการณ์ในการประเมินและแก้ไขปัญหาใต้ตาอย่างตรงจุด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและปลอดภัย
- การเลือกใช้ฟิลเลอร์คุณภาพสูง ที่ TBL Clinic เราเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองจากอย. เท่านั้น เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ยาวนาน โดยยังมีตัวเลือกยี่ห้อและรุ่นที่เหมาะสมกับปัญหาใต้ตาของผู้รับบริการแต่ละคน
- การให้คำปรึกษาเฉพาะบุคคล ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ แพทย์จะทำการประเมินปัญหาและวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคลอย่างละเอียด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการและลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน
- เทคนิคการฉีดที่ปลอดภัย เราใช้เทคนิคที่ทันสมัยและมีมาตรฐานสูง เพื่อลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง เช่น การบวม หรือการอุดตันของเส้นเลือด ทำให้ผู้รับบริการมั่นใจได้ในทุกขั้นตอน
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคา
รีวิว ฟิลเลอร์ใต้ตา ที่ TBL Clinic
สรุป ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ทางลัดคืนความสดใสให้ใบหน้าดูตื่นตลอดวัน
ใต้ตาคล้ำ ร่องลึก หรือความโทรมจากการพักผ่อนน้อย อาจไม่ต้องใช้คอนซีลเลอร์กลบทุกเช้าอีกต่อไป เพราะ ฟิลเลอร์ใต้ตาคือเทคนิคที่ช่วยคืนความสดใสได้อย่างเป็นธรรมชาติและปลอดภัย สาร Hyaluronic Acid (HA) จะเข้าไปเติมเต็มร่องลึก ปรับแสงเงาใต้ตาให้ดูนุ่มนวลขึ้น พร้อมช่วยให้ผิวบริเวณนั้นอิ่มน้ำและเรียบเนียนขึ้นทันที เห็นผลชัดในไม่กี่วันโดยไม่ต้องพักฟื้น หมอแนะนำให้เลือกฟิลเลอร์แท้ มี อย. และฉีดกับแพทย์ที่มีเทคนิคเฉพาะด้านใต้ตา เพื่อให้ผลลัพธ์เนียน สวย และปลอดภัยในระยะยาว เพราะใต้ตาที่ดูสดใส ไม่ได้เกิดจากการนอนเยอะ แต่เกิดจากการดูแลอย่างถูกวิธีกับแพทย์ที่เข้าใจใบหน้าคุณจริงๆ
อยากฟื้นฟูใต้ตาให้กลับมาดูสดใส ไม่โทรมเหมือนอดนอนตลอดปี หมอแนะนำให้เริ่มจากการปรึกษาก่อนฉีดเพื่อประเมินปัญหาและเลือกฟิลเลอร์ที่เหมาะกับคุณที่สุดครับ เพราะแต่ละคนมีโครงหน้าและผิวใต้ตาที่แตกต่างกัน การวางแผนอย่างละเอียดคือสิ่งที่ทำให้ผลลัพธ์ดูธรรมชาติและปลอดภัยที่สุด
💬 ปรึกษาฟรีได้ที่
LINE Official: @TBLCLINIC หรือ Inbox Facebook: TBL Clinic
เพราะใต้ตาที่ดูอ่อนเยาว์ ไม่ใช่แค่เรื่องความงาม แต่คือความมั่นใจที่มองเห็นได้ตั้งแต่แรกสบตาครับ
FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
1. ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอยู่ได้นานแค่ไหน ?
โดยทั่วไปอยู่ได้นานประมาณ 8–18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์และเทคนิคของแพทย์ครับ
2. ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเจ็บไหม ?
รู้สึกแค่ตึง ๆ หรือจิ๊ดเล็กน้อย เพราะฟิลเลอร์ส่วนใหญ่มี ยาชาผสมในตัว และสามารถทายาชาก่อนฉีดได้ครับ
3. หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาต้องพักฟื้นไหม ?
ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที แต่อาจมีรอยเข็มหรือบวมเล็กน้อยใน 2–3 วันแรกครับ
4. ฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยลดรอยคล้ำได้ไหม ?
ช่วยได้ครับ โดยเฉพาะกรณีที่ใต้ตาคล้ำจาก “เงาร่องลึก” ไม่ใช่สีผิว เพราะฟิลเลอร์จะเติมเต็มให้ผิวดูอิ่มขึ้น
5. ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วสามารถแต่งหน้าได้ไหม ?
แต่งหน้าได้หลังฉีดประมาณ 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการติดเชื้อหรือการกดทับบริเวณที่ฉีดครับ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
Call Center : 095-291-6565
Facebook : TBL Clinic-ทู บีเลิฟ คลินิก
e-mail : [email protected]
LINE : @tblclinic


