หลายคนอาจเคยมีโมเมนต์มองกระจกแล้วเผลอคิดว่า ทำไมหน้าดูไม่เฟิร์มเหมือนเมื่อก่อน ความหย่อนคล้อยคือสัญญาณธรรมชาติที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จนทำให้ใครหลายคนเริ่มค้นหาคำว่า ร้อยไหมแบบไหนดีที่สุด เพื่อหาคำตอบที่ชัดเจน การร้อยไหมจริง ๆ แล้วมีหลายแบบให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นไหมก้างปลา ไหมเกลียว ไหมเงี่ยง หรือไหมกุหลาบ แต่ละชนิดมีข้อดีและจุดเด่นต่างกัน เหมือนเลือกฟิลเตอร์ที่ใช่ในแอปพลิเคชัน ต้องแมตช์กับผิวและความคาดหวังของเรา บทความนี้หมอจะพาไล่เรียงทีละประเด็น ให้เข้าใจง่าย อ่านเพลิน ไม่เครียดเกินไป และช่วยให้คุณเลือกได้ว่าร้อยไหมแบบไหนจะตอบโจทย์ความมั่นใจของตัวเองจริง ๆ
ร้อยไหมมีกี่แบบ
การร้อยไหมถือว่าเป็นหัตถการที่ใช้แก้ปัญหาความหย่อนคล้อย ซึ่งจริงๆ แล้วเส้นไหมที่ใช้มี 2 กลุ่มหลัก โดยหมอขอสรุปให้เข้าใจง่ายแบบนี้ครับ
- ไหมละลาย (Absorbable Thread)
วัสดุที่ใช้บ่อยคือ PDO, PLLA และ PCL เส้นไหมเหล่านี้จะค่อย ๆ สลายตัวได้เองตามธรรมชาติในช่วงเวลา 8–24 เดือน ระหว่างที่ยังคงอยู่ใต้ผิว ร่างกายจะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวกระชับและดูเฟิร์มขึ้น เหมาะสำหรับคนที่อยากได้ลุคสวยใสธรรมชาติ เหมือนใส่ฟิลเตอร์แบบเนียนๆ ไม่โอเวอร์ - ไหมไม่ละลาย (Non-Absorbable Thread)
วัสดุหลักคือ Nylon หรือ Polypropylene ซึ่งไม่สลายตามธรรมชาติ เดิมทีใช้ในงานศัลยกรรมเพื่อการยกหน้าถาวร แต่ปัจจุบันแทบไม่ได้ใช้แล้ว เพราะมีโอกาสเกิดพังผืดหรือภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว
ในคลินิกยุคนี้จะเน้นไหมละลายมากกว่า เพราะทั้งปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ชอบความเป๊ะพอดี หมอเรียกว่าเป็นเทรนด์สาย “ผิวสวยแบบไม่โป๊ะ” เลยก็ว่าได้ครับ
บทความแนะนำ : ร้อยไหมมีกี่แบบ ? เจาะลึกทุกชนิดไหม พร้อมวิธีเลือกให้เหมาะกับคุณ
ทำความรู้จักวัสดุของเส้นไหม ว่าทำมาจากอะไร ?
วัสดุที่ใช้ทำเส้นไหมถือเป็นตัวแปรหลักที่มีผลต่อทั้งความปลอดภัย ระยะเวลาการคงตัว และผลลัพธ์ที่ได้จากการร้อยไหม ปัจจุบันสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ดังนี้
- ไหมละลาย (Absorbable Thread)
- PDO (Polydioxanone) อยู่ได้ประมาณ 8–12 เดือน นิยมใช้มากเพราะปลอดภัยสูง ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและยกผิวในระดับปานกลาง
- PLLA (Poly L-Lactic Acid) อยู่ได้ประมาณ 12–18 เดือน จุดเด่นคือช่วยฟื้นฟูผิวและเติมเต็มร่องลึกได้ดี
- PCL (Polycaprolactone) อยู่ได้ยาวสุด 18–24 เดือน ให้แรงยกที่มั่นคง เหมาะกับเคสที่ต้องการผลลัพธ์นานๆ
- ไหมไม่ละลาย (Non-Absorbable Thread)
- Polypropylene วัสดุพลาสติกที่แข็งแรง ไม่สลายตามธรรมชาติ เคยใช้ในงานศัลยกรรมเพื่อยกหน้าถาวร แต่ปัจจุบันไม่ค่อยนิยมเพราะเสี่ยงเกิดพังผืด
- ไหมทองคำ ใช้ทองคำบริสุทธิ์ฝังใต้ผิว เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน แม้ดูหรูหรา แต่ข้อจำกัดคือยืดหยุ่นน้อย และอาจไม่เหมาะกับทุกสภาพผิว
การเข้าใจวัสดุเหล่านี้ช่วยให้การเลือกวิธีร้อยไหมตรงกับความต้องการมากขึ้น หมอขอแนะนำว่าก่อนตัดสินใจควรเช็กให้ชัวร์ว่าใช้วัสดุที่มีมาตรฐาน และเลือกแบบที่ แมตช์กับผิวและไลฟ์สไตล์ จะได้ผลลัพธ์ที่สวยแบบไม่โป๊ะครับ
เข็มที่ใช้ร้อยไหม มีลักษณะแบบไหนบ้าง ?
เข็มที่ใช้ในการร้อยไหมแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ เข็มปลายแหลม และ เข็มปลายทู่ ทั้งสองชนิดต่างก็มีข้อดีในตัวเอง แต่จะเลือกใช้อย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน เพื่อให้ผลการยกกระชับออกมาเหมาะสมและดูเป็นธรรมชาติที่สุด
เข็มปลายแหลม
- ปลายเข็มมีความแหลมคม จึงสอดผ่านผิวได้ง่าย เหมาะกับผู้ที่มีผิวหนา หลุมสิวเด่น รูขุมขนกว้าง หรือมีพังผืดจากการผ่าตัดเก่า
- ข้อเสียคือโอกาสเกิดรอยช้ำหรือบวมจะมากกว่า เนื่องจากเข็มอาจกระทบเส้นเลือด
- เวลาสอดไหมเข้าไป ช่องใต้ผิวที่เปิดจะกว้าง ทำให้การยึดเกาะของเงี่ยงไหมไม่แน่นเท่าที่ควร
เข็มปลายทู่
- มีทั้งแบบปลายตัด (L-type) และปลายมน (W-type) โดย L-type ยังมีคมเล็กน้อย ส่วน W-type จะทู่มนที่สุด
- ข้อดีคือช่วยลดการบาดเจ็บของเส้นเลือดและเนื้อเยื่อ ทำให้รอยช้ำและบวมหลังทำลดลง ระยะพักฟื้นสั้นกว่า
- เนื่องจากเข็มทู่ไม่บาดผิว ช่องที่สร้างขึ้นจึงแคบกว่า ส่งผลให้เงี่ยงไหมสามารถเกาะผิวได้แน่นหลายตำแหน่ง ลดโอกาสที่ไหมจะเลื่อนหรือเกิดริ้วใต้ผิว
การเลือกชนิดเข็มจึงไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่คือการปรับให้เข้ากับโครงสร้างผิวของแต่ละคน เพื่อให้ผลลัพธ์การร้อยไหมดูเป๊ะและยกกระชับอย่างที่ตั้งใจครับ
เส้นไหมที่ใช้ในการ้อยไหมมีกี่แบบ เลือกแบบไหนถึงจะดีที่สุด
ปัจจุบันเส้นไหมที่ใช้ในการร้อยมีให้เลือกหลายแบบ แต่ละชนิดออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาผิวที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นการยกกระชับ กรอบหน้าชัด เติมเต็มร่องตื้น หรือแม้กระทั่งกระตุ้นคอลลาเจนโดยตรง การเลือกจึงขึ้นอยู่กับทั้งโครงสร้างผิว อายุ และความคาดหวังของแต่ละคน จะบอกว่าไม่มีสูตรตายตัวก็จริง แต่การรู้จักชนิดไหมแต่ละแบบจะช่วยให้เข้าใจว่าควรเลือกแนวไหนให้ตรงกับความต้องการมากที่สุด บทความนี้หมอจะเล่าให้ครบทุกตัว ตั้งแต่ไหมก้างปลาไปจนถึงไหมตาข่าย เพื่อให้คุณได้ภาพชัดเจนก่อนตัดสินใจแบบไม่พลาดแน่นอนครับ
ไหมก้างปลา
ไหมก้างปลา (Cog Thread) ถือเป็นตัวท็อปที่หลายคนเลือกเมื่อพูดถึงการร้อยไหม จุดเด่นอยู่ที่เส้นไหมมีเงี่ยงเล็ก ๆ คล้ายก้างปลาเรียงตัวรอบเส้น ซึ่งช่วยเกี่ยวและยึดกับชั้นผิว ทำให้เกิดแรงดึงและยกผิวขึ้นทันที เหมาะกับผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยไม่มาก เช่น กรอบหน้าไม่ชัด แก้มเริ่มตก หรือแนวคางที่อยากให้กลับมาเป๊ะขึ้น การใช้ไหมก้างปลาไม่ได้ช่วยแค่ยกผิว แต่ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวโดยรอบกระชับและดูละเอียดขึ้นด้วย ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 8–12 เดือน ซึ่งถือว่าพอดีสำหรับคนวัย 25–35 ปีที่อยากรีเฟรชใบหน้าแบบไว ๆ เหมือนกดปุ่มรีเซ็ตหน้าให้สดใสขึ้นแบบ สายปังทันใจ ครับ
ร้อยไหมเรียบ เส้นไหมเรียบ (Mono threads)
ไหมเรียบ หรือ Mono threads เป็นเส้นไหมละลายชนิดที่ไม่มีเงี่ยง ลักษณะตรงเรียบ เน้นการใส่จำนวนหลายเส้นเพื่อสร้างตาข่ายใต้ผิว จุดเด่นคือช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวแน่นขึ้นและดูละเอียดกว่าเดิม เหมาะกับผู้ที่ผิวบาง ร่องตื้น หรืออยากฟื้นฟูผิวให้ดูสดใส ไม่ได้เน้นแรงยกเท่าไหมก้างปลาหรือไหมเงี่ยง ผลลัพธ์อยู่ได้เฉลี่ย 8–12 เดือน การทำ Mono threads จึงเปรียบเสมือนการบูสต์ผิวให้กลับมาดูมีชีวิตชีวา เหมาะกับคนวัยทำงานที่อยากได้ลุคดูดีแบบเนียน ๆ ไม่โป๊ะ เทคนิคนี้ยังนิยมใช้เสริมร่วมกับหัตถการอื่น เช่น ฟิลเลอร์หรือเลเซอร์ เพื่อให้ผิวดูฟูใสเหมือนกด อัพเกรดสกินแบบสายเฮลท์ตี้ ครับ
ร้อยไหมกรวย เส้นไหมกรวย
ไหมกรวย (Cone Threads) เป็นเส้นไหมที่ออกแบบให้มีกรวยเล็ก ๆ ติดอยู่ตลอดแนวเส้น ซึ่งทำหน้าที่คล้ายตะขอในการยึดเกาะกับชั้นผิว ทำให้แรงดึงแน่นกว่าไหมก้างปลาหรือไหมเงี่ยงทั่วไป จุดเด่นคือช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยระดับปานกลางถึงมาก เช่น แก้มตก มุมปาก หรือแนวขากรรไกรที่เริ่มไม่ชัดเจน ผลลัพธ์อยู่ได้เฉลี่ย 18–24 เดือน และยังช่วยกระตุ้นคอลลาเจนได้ดี เหมาะสำหรับผู้ที่อายุ 35 ปีขึ้นไป หรือคนที่ต้องการผลลัพธ์ยกนาน ๆ โดยไม่อยากพึ่งการผ่าตัดใหญ่ การใช้ไหมกรวยเรียกได้ว่าเป็นตัวเลือกที่ สายเป๊ะจัดเต็ม ชื่นชอบ เพราะให้แรงดึงที่มั่นคงและทำให้รูปหน้าดูชัดเจนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติครับ
ร้อยไหมไหมเกลียว เส้นไหมเกลียว (Screw threads)
ไหมเกลียว หรือ Screw threads เป็นเส้นไหมละลายที่ถูกพันเป็นเกลียวรอบแกน ทำให้เมื่อร้อยเข้าไปใต้ผิวเกิดแรงดันเล็ก ๆ ช่วยเติมเต็มร่องตื้นและกระตุ้นคอลลาเจนได้ดี จุดเด่นคือช่วยให้ผิวดูแน่นและเนียนขึ้น เหมาะกับผู้ที่มีผิวบาง ร่องแก้มตื้น หรือริ้วรอยเล็กๆ ที่อยากให้ดูเรียบขึ้น ไม่ได้เน้นแรงยกเหมือนไหมก้างปลา แต่เน้นงาน ผิวสวยสายฟีลธรรมชาติ ผลลัพธ์อยู่ได้เฉลี่ย 8–12 เดือน ข้อดีอีกอย่างคือมักใช้ร่วมกับไหมชนิดอื่นเพื่อเสริมผลลัพธ์ เช่น ใช้ไหมเงี่ยงยกแก้ม แล้วเติมไหมเกลียวเพิ่มความเรียบเนียน การทำแบบนี้ช่วยให้ใบหน้าดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้นแบบกลมกลืน เหมือนเปิดโหมดฟิลเตอร์ที่ทำให้ผิวไบรท์ขึ้นโดยไม่ต้องแต่งเยอะครับ
ไหมคอลลาเจน
ไหมคอลลาเจน ถือเป็นเส้นไหมที่ถูกพัฒนามาเพื่อตอบสนองงาน ผิวใสสายเฮลท์ตี้ โดยเฉพาะ ลักษณะของเส้นไหมจะมีส่วนผสมที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวได้มากกว่าไหมละลายทั่วไป เมื่อร้อยเข้าไปแล้วไม่เพียงแต่ช่วยยกกระชับในระดับหนึ่ง แต่ยังทำให้ผิวค่อย ๆ ฟูขึ้น ดูเด้งและละเอียดขึ้น เหมาะกับผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวบาง ขาดความชุ่มชื้น หรือมีริ้วรอยเล็ก ๆ รอบแก้มและใต้ตา ผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 12–18 เดือน ข้อดีคือช่วยทั้งด้านโครงสร้างและคุณภาพผิวในเวลาเดียวกัน หลายเคสจึงเลือกทำควบคู่กับเลเซอร์หรือสกินบูสเตอร์เพื่อรีเฟรชผิวแบบคอมโบ การใช้ไหมคอลลาเจนจึงเปรียบเหมือนการเติมพลังให้ผิวจากข้างใน ทำให้หน้าดูอิ่มน้ำและสดใสขึ้น เหมือนเปิดโหมด ผิวโกลว์แบบไอดอลเกาหลี ครับ
ไหมอิตาลี
ไหมอิตาลี หรือที่บางคนเรียกว่า Italian PDO เป็นเส้นไหมที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีจากประเทศอิตาลี จุดเด่นอยู่ที่คุณภาพของเส้นไหมมีความเหนียวและยืดหยุ่นสูงกว่าไหมทั่วไป ทำให้เวลาร้อยเข้าไปแรงยกมีความมั่นคง และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดีขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้จึงดูยกกระชับและเป็นธรรมชาติกว่าเดิม เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับกลางถึงมาก โดยเฉพาะแนวกรอบหน้า แก้ม และเหนียง อายุประมาณ 30–50 ปีก็ยังใช้ได้ดี ผลลัพธ์อยู่ได้เฉลี่ย 12–18 เดือน การเลือกไหมอิตาลีถือว่าตอบโจทย์สายที่อยากให้ผลลัพธ์ยกนาน ๆ แต่ไม่อยากเจ็บตัวจากการผ่าตัดใหญ่ เรียกว่าเป็น ตัวช่วยรีเซ็ตกรอบหน้า ที่หมอหลายคนชอบใช้เพราะทำแล้วหน้าดูเฟิร์มและสดใสขึ้นครับ
ไหมมิ้นท์ (Mint Lift)
ไหมมิ้นท์ หรือ Mint Lift เป็นไหมละลายจากเกาหลีที่ขึ้นชื่อเรื่องแรงยกสูง เพราะมีเงี่ยง 360 องศารอบเส้น จึงยึดเกาะผิวได้มั่นคงและกระตุ้นคอลลาเจนไปพร้อมกัน เหมาะกับคนที่ผิวเริ่มหย่อนคล้อยระดับกลางถึงมาก โดยเฉพาะกรอบหน้าและแก้ม ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 12–18 เดือน
รุ่นย่อยที่นิยมใช้ ได้แก่
- Mint Fine เส้นไหมขนาดเล็ก เหมาะกับงานละเอียด เช่น ร่องตื้น ริ้วรอยรอบดวงตา หรือผิวที่ต้องการความกระชับแบบเนียนใส ร้อยไหมหน้าเรียว ร้อยไหมยกกระชับหน้า บอกเลยว่าตอบโจทย์
- Mint Fix Mini ใช้สำหรับยกจุดเล็กๆ หรือแก้รายละเอียด เช่น มุมปาก หางคิ้ว และบริเวณหางตา โดยเฉพาะการทำ ร้อยไหม Foxy Eyes ที่หลายคนชอบ เพราะช่วยยกหางตาให้ดูเฉี่ยวคมและหน้าเฟียร์ซขึ้นทันที
จะเลือก Mint Fine หรือ Mint Fix Mini ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการว่าต้องการงานผิวเนียน หรืองานยกที่เฉพาะจุดครับ
ไหมตาข่าย (Tesslift Soft)
ไหมตาข่าย หรือ Tesslift Soft เป็นไหมละลายที่ถูกออกแบบมาให้มี “โครงสร้างตาข่าย” คล้ายตาข่ายเล็ก ๆ ห่อหุ้มเส้นไหม ทำให้ยึดเกาะกับชั้นผิวได้หลายจุดพร้อมกัน แรงดึงจึงสม่ำเสมอและมั่นคงกว่าไหมเงี่ยงทั่วไป จุดเด่นของไหมตาข่ายคือช่วยยกผิวที่หย่อนคล้อยระดับมาก เช่น แก้มตก เหนียง หรือแนวกรอบหน้าที่เริ่มเบลอไปตามอายุ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นคอลลาเจนรอบ ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ผลลัพธ์อยู่ได้ราว 18–24 เดือน เหมาะสำหรับคนที่อยากยกครั้งเดียวแล้วเห็นผลชัดเจนยาวนาน โดยเฉพาะวัย 35–50 ปีที่ต้องการโครงสร้างหน้าเฟิร์มขึ้น การใช้ไหมตาข่ายจึงถูกมองว่าเป็น สายโครงสร้างตัวจริง เพราะช่วยล็อกผิวและยกใบหน้าให้กลับมาตึงกระชับได้แบบเนียนและธรรมชาติครับ
บทความแนะนำ : ร้อยไหม คืออะไร ช่วยอะไรได้บ้าง? รวมคำถามยอดฮิตเกี่ยวกับการยกกระชับใบหน้าแบบไม่ผ่าตัด
ร้อยไหมแบบไหนดีที่สุด
คำถามยอดฮิตที่หลายคนสงสัยคือ ร้อยไหมแบบไหนดีที่สุด ซึ่งความจริงแล้วไม่มีเส้นไหมชนิดใดที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน แต่ขึ้นอยู่กับสภาพผิว ระดับความหย่อนคล้อย และผลลัพธ์ที่อยากได้ ถ้าผิวหย่อนเล็กน้อยและยังอายุน้อย อาจเหมาะกับไหมเรียบหรือไหมเกลียวที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน แต่ถ้าแก้มตก กรอบหน้าไม่ชัด ไหมก้างปลาและไหมเงี่ยงจะช่วยยกได้มากกว่า ส่วนคนวัย 35–45 ปีที่ต้องการแรงดึงสูงและผลลัพธ์นานขึ้น อาจเลือกไหมกุหลาบหรือไหมตาข่ายที่ช่วยล็อกโครงสร้างได้มั่นคง
หนึ่งในไหมที่มาแรงตอนนี้คือ ไหม Mint Lift ซึ่งมีเงี่ยงรอบเส้น 360 องศา ทำให้ยกกระชับได้แน่นและผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12–18 เดือน แถมยังมีรุ่นย่อย เช่น Mint Fine สำหรับริ้วรอยเล็ก และ Mint Fix Mini ที่นิยมใช้ทำ Foxy Eyes หรือยกมุมปากเพิ่มความเป๊ะ TBL Clinic จึงเลือกใช้ไหม Mint เป็นหลัก เพราะได้มาตรฐาน KFDA และ US-FDA เน้นความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ดังนั้น ร้อยไหมแบบไหนดีที่สุด จึงขึ้นกับการเลือกเส้นไหมให้ตรงกับปัญหาผิวและความคาดหวัง โดยมีแพทย์วางแผนร่วมกัน เพื่อให้คุณได้ลุคที่มั่นใจและดูดีในแบบที่ใช่ที่สุดครับ
รีวิวร้อยไหม TBL Clinic
ร้อยไหม ราคาเท่าไหร่ที่ TBL Clinic
ราคาการร้อยไหมที่ TBL Clinic จะขึ้นอยู่กับชนิดไหมและจำนวนเส้น โดยใช้ ไหม Mint ที่มีมาตรฐาน KFDA และ US-FDA ซึ่งแบ่งได้ดังนี้
- Mint Fine เหมาะสำหรับยกกระชับใบหน้าหรือจุดที่ต้องการความเฟิร์ม
- 4 เส้น 15,900 บาท
- 6 เส้น 18,900 บาท
- 8 เส้น 24,900 บาท
- 12 เส้น 29,900 บาท
- Mint Fix Mini เหมาะสำหรับทำ Foxy Eyes หรือยกจุดเล็ก ๆ เช่น มุมปาก หางตา
- 2 เส้น 4,900 บาท
- 4 เส้น 9,500 บาท
- 6 เส้น 14,900 บาท
ราคาที่เลือกจึงขึ้นกับดีไซน์และความหย่อนคล้อยของแต่ละคน หมอแนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนจำนวนเส้นที่เหมาะสม จะได้ผลลัพธ์ที่สวยและคุ้มค่าที่สุดครับ
อยากยกกระชับใบหน้าแบบเห็นผลจริง ไม่โป๊ะ ลองปรึกษาการร้อยไหม Mint กับทีมแพทย์ที่ TBL Clinic ได้เลยครับ ตอนนี้มีโปรพิเศษเริ่มต้นเพียง 3,999 บาท ทักมาคุยทาง Line Official หรือ Inbox Facebook ได้ทันที หมอยินดีช่วยประเมินเคสและแนะนำจำนวนเส้นที่เหมาะสมให้ครับ
สรุป ร้อยไหมแบบไหนดีที่สุด เลือกให้ตอบโจทย์ปัญหา
ท้ายที่สุดแล้วการร้อยไหมไม่ได้มีสูตรตายตัวว่าแบบไหนดีที่สุด แต่ขึ้นอยู่กับสภาพผิว อายุ และความคาดหวังของแต่ละคน หากผิวเพิ่งเริ่มหย่อนเล็กน้อย ไหมเรียบหรือไหมเกลียวก็เพียงพอ แต่ถ้าแก้มตก กรอบหน้าไม่ชัด อาจเหมาะกับไหมก้างปลา ไหมเงี่ยง หรือไหมกรวย ส่วนผู้ที่ต้องการแรงดึงสูงและผลลัพธ์อยู่นานขึ้น ไหมกุหลาบ ไหมตาข่าย และไหมมิ้นท์ก็เป็นตัวเลือกที่มาแรงในยุคนี้ โดยเฉพาะ Mint Lift ที่มีรุ่นย่อยอย่าง Mint Fine และ Mint Fix Mini สำหรับงานละเอียดหรือการทำ Foxy Eyes ที่สายแฟนิยมกัน การเลือกเส้นไหมจึงควรอิงทั้งโครงสร้างหน้าและเป้าหมายที่ต้องการ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เนียน ปัง และคุ้มค่ากับการลงทุน เหมือนกับการเลือกฟิลเตอร์ที่ใช่ แต่ครั้งนี้คือการยกระดับผิวจริงให้กลับมาตึงกระชับและมั่นใจยิ่งขึ้นครับ
FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ร้อยไหมแบบไหนดีที่สุด
- ร้อยไหมแบบไหนดีที่สุดสำหรับคนอายุ 30 ปี?
เหมาะกับไหมก้างปลา หรือไหมเกลียว ที่ช่วยยกเล็กน้อยและกระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวแน่นขึ้น - ร้อยไหมอยู่ได้นานกี่เดือน?
ขึ้นกับชนิดไหม โดยทั่วไปไหมละลายอยู่ได้เฉลี่ย 8–24 เดือน เช่น PDO 8–12 เดือน, PLLA 12–18 เดือน, PCL 18–24 เดือน - ร้อยไหมเจ็บไหม?
การทำมีการฉีดยาชา ทำให้เจ็บน้อย รู้สึกเพียงความตึงขณะใส่ไหม - ร้อยไหมทำจากวัสดุอะไรปลอดภัยที่สุด?
วัสดุที่นิยมคือไหมละลาย PDO, PLLA, PCL ซึ่งปลอดภัย สลายได้เอง และกระตุ้นคอลลาเจน - ร้อยไหมราคาเฉลี่ยเท่าไหร่?
ร้อยไหมราคาเฉลี่ยเริ่มต้นประมาณ 3,999–30,000 บาท ขึ้นอยู่กับชนิดไหมและจำนวนเส้นที่ใช้
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
Call Center : 095-291-6565
Facebook : TBL Clinic-ทู บีเลิฟ คลินิก
e-mail : [email protected]
LINE : @tblclinic
